วันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

วันนี้เรามีสูตรสมุนไพร กำจัดความมันของหนังศีรษะ ง่ายๆๆมาฝากคะ

สูตรจัดการกับความมันบนหนังศีรษะง่ายๆ 

แก้ปัญหาผมร่วงได้นะคะ



     ช่วงนี้อากาศร้อนกันมากเลยใช่ไหมคะ เพราะอาการร้อนนี่เอง ที่ทำให้ร่างกายผลิตเหงื่อออกมามาก เพื่อระบายความร้อน ไม่เว้นแม้กระทั่งหนังศีรษะของเราก็มีเหงื่อไหลออกมาจนทำให้หนังศีรษะเริ่มมัน ยิ่งในบางคนที่หนังศีรษะมันง่ายนั้น ไม่ว่าจะเจอสภาพภูมิอากาศแบบไหนก็มัน ยิ่งเป็นโชคร้าย เนื่องจากความมันที่เกิดขึ้นนี่ล่ะคะที่เป็นสาเหตุก่อให้เกิดอาการผมร่วง


     วันนี้เรามีสูตรสมุนไพรแก้ผมร่วง ที่จัดการในเรื่องความมันของหนังศีรษะกันค่ะ

สูตรจัดการความมันบนหนังศีรษะ ด้วยสมุนไพรแก้ผมร่วง  1


  • นำมะนาวมาคั้นเอาแต่น้ำให้ได้ปริมาณ 8 ช้อนโต๊ะ
  • หลังจากนั้นนำน้ำมะนาวที่ได้มาผสมกับน้ำเปล่าครึ่งถ้วยหลังจากนั้นคนให้เข้ากัน
  • เมื่อผสมเสร็จแล้วให้นำไปนวดลงบนหนังศีรษะ และเส้นผมด้วยปลายนิ้วเพื่อช่วยในการผ่อนคลายและกระตุ้นระบบไหลเวียนของเลือดที่มาเลี้ยงหนังศีรษะ ทิ้งไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมงแล้วจึงล้างออก เท่านี้ก็จะช่วยลดความมันของหนังศีรษะได้ค่ะ


สูตรจัดการความมันบนหนังศีรษะ ด้วยสมุนไพรแก้ผมร่วง  2


  • นำไข่ไก่ 1 ฟอง โดยเลือกใช้แต่ไข่ขาว
  • เตรียมน้ำอุ่นครึ่งแก้ว เทไข่ขาวที่เตรียมไว้ลงไป แล้วตีให้เข้ากัน
  • หลังจากนั้นให้นำมาเทลงบนผมให้ทั่ว แล้วนวดหนังศีรษะด้วยปลายนิ้วเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทิ้งไว้ประมาณ 8-10 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่นจนสะอาด ไม่ต้องสระผมซ้ำ ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 3 ครั้ง สภาพของเส้นผมจะดีขึ้นความมันจะลดลงค่ะ

สูตรจัดการความมันบนหนังศีรษะ ด้วยสมุนไพรแก้ผมร่วง  3


  • นำไข่ไก่ 2 ฟอง โดยเลือกใช้แต่ไข่ขาว
  • เตรียมคั้นน้ำส้มเขียวหวาน 2 ช้อนโต๊ะ ตีจนเข้ากัน
  • จัดการราดน้ำอุ่นลงบนผมจนทั่ว แล้วเช็ดให้หมาด หลังจากนั้นจัดการเทส่วนผสมที่เราทำไว้ลงไปบนหนังศีรษะ ขยี้จนทั่วหนังศีรษะ
  • หลังจากขยี้หนังศีรษะจนทั่วแล้วให้เอาผ้าขนหนูมาห่อผมให้มิดชิด โดยพันเหมือนเวลาที่เราสระผมเสร็จตอนอยู่ในร้านทำผมก็ได้ค่ะ ทิ้งไว้สัก 15 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น สระให้สะอาดอีกครั้ง ก็เป็นอันเสร็จสิ้น


สูตรจัดการความมันบนหนังศีรษะ ด้วยสมุนไพรแก้ผมร่วง  4


  • ชงชาดอกมะนาวครึ่งถ้วย
  • เตรียมโยเกิร์ตครึ่งถ้วยในที่นี้อาจจะใช้เป็นรสธรรมชาติน่าจะสะดวกกับการหมักผมมากกว่านะคะ ส่วนที่เหลือก็นั่งทานรอระหว่างหมักผมไปพลางๆก็ได้ค่ะ
  • จัดการผสมชาดอกมะนาวกับโยเกิร์ตให้เข้ากัน
  • นำน้ำอุ่นมาราดลงบนศีรษะแล้วเช็ดจนหมาด หลังจากนั้นนำส่วนผสมที่เตรียมไว้มาชโลมให้ทั่วศีรษะ ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีแล้วล้างออก สระผมให้สะอาด ก็เป็นอันเรียบร้อยค่ะ


เป็นยังไงกันบ้างคะ กับสูตรที่นำเสนอวันนี้ ดูไม่น่ายากเลยใช่ไหมคะ ทดลองกันแล้วได้ผลเป็นยังไงอย่าลืมบอกกันบ้างนะคะ

สูตรสมุนไพรแก้ผมร่วง ง่ายๆๆ ลองทำดูนะคะ

 สมุนไพรแก้ผมร่วง  ด้วยวิธีง่ายๆๆ




สวัสดีค่ะ วันนี้เราจะพูดถึงเรื่องผมร่วงกันค่ะ อาการผมร่วงนั้นเกิดได้หลายสาเหตุเช่น ฮอร์โมน, พันธุกรรม,  ช่วงอายุ หรือแม้แต่ลักษณะการใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการทานอาหาร ความเครียด หรือยารักษาโรคบางตัวก็ส่งผลต่อการหลุดร่วงของเส้นผม

โดยปกติคนเราจะมีการร่วงของเส้นผมอยู่ที่ประมาณ 50-100 เส้นต่อวัน อยู่แล้ว โดยในผู้ชายจะมีการร่วงของเส้นผมมากกว่าผู้หญิง แต่หากร่วงเกินจากนี้ อันนี้ล่ะคะที่เป็นการที่น่าเป็นห่วง

วันนี้เราเลยมีสูตรสมุนไพรแก้ผมร่วงมาฝากกันค่ะ


สูตรสมุนไพรแก้ผมร่วง  1

  • นำขิงแก่ 1 แง่งขนาดประมาณฝ่ามือมาตำจนละเอียดแล้วนำไปห่อผ้าขาวบางไว้ เป็นลูกประคบ
  • ต้มน้ำในหม้อโดยใส่น้ำสักครึ่งหม้อแล้วขึงผ้าขาวบางบริเวณปากหม้อ รอจนน้ำเดือดแล้วจึงเอาขิงที่ห่อผ้าขาวบ้างไว้มาวาง
  • ไอน้ำจากหม้อจะทำให้ลูกประคบขิงเกิดความร้อน ควรกะความร้อนที่ผิวหนังทนได้นะคะ หลังจากนั้นนำมาประคบบริเวณที่ผมร่วงจนเย็น จึงนำกลับไปวางที่ที่ปากหม้อเพื่อรมไอน้ำต่อ ทำเช่นนี้วันละ 2 ครั้งๆละ 20-30 นาที ผ่านไปสักประมาณ 3-5 วันจะจึงเห็นผลค่ะ



สูตรสมุนไพรแก้ผมร่วง  2

  • นำมะกรูดจำนวน 4 ผล ต้มในน้ำโดยใช้ไฟปานกลาง รอจนมะกรูดนิ่มจึงยกลง
  • จัดการผ่าซีกมะกรูดทั้ง 4 ผล แล้วนำไปครั้นเอาแต่น้ำโดยกรองด้วยผ้าขาวบางเพื่อให้ได้น้ำมะกรูดเพียงอย่างเดียว
  • หลังจากนั้นนำน้ำมะกรูดที่ครั้นได้มาหมักผมทิ้งไว้ประมาณ 2-3 นาที แล้วล้างออกด้วยนำเปล่า โดยสูตรนี้ให้ทำสัปดาห์ละ 2 ครั้งค่ะ



สูตรสมุนไพรแก้ผมร่วง  3

  • นำไข่ไก่ โดยใช้เฉพาะไข่แดงเท่านั้น จำนวน 1 ฟอง
  • ปอกเปลือกว่านหางจระเข้ให้เหลือแต่วุ้นใสๆ โดยกะปริมาณให้พอๆกันไข่ไก่ 1 ฟอง
  • เตรียมน้ำมันมะกอก 1 ช้อนชา
  • หลังจากนั้นผสมทั้ง ไข่ไก่ ว่านหางจระเข้ น้ำมันมะกอก ให้เข้ากัน แล้วนำมาหมักผมทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที โดยสูตรนี้ทำสัปดาห์ละ 1 ครั้งค่ะ

 



สูตรสมุนไพรแก้ผมร่วง  4

  • นำผักบุ้งสัก 1 กำ มาตำให้พอคั้นน้ำได้
  • หลังจากนั้นคั้นน้ำแล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง แล้วจึงนำมาหมักผมทิ้งไว้ประมาณ 2 นาที




สูตรสมุนไพรแก้ผมร่วง  5

  • นำเหง้าขิงขนาดเท่าหัวแม่มือมาอิงไฟให้อุ่นจัด (ร้อนพอเอามือจับได้)
  • หลังจากนั้นนำมาบดให้ละเอียด แล้วนำมาทาให้ทั่วหนังศีรษะ น้ำมันในขิงจะช่วยกระตุ้นการงอกของเส้นผม อีกทั้งผมที่ขึ้นใหม่จะมีรากผมที่แข็งแรงไม่หลุดล่วงง่าย



สำหรับทั้ง 5 สูตรนี้เป็นเพียงตัวอย่างของการนำสมุนไพรไทยเรามาใช้ในการรักษาอาการผมร่วงเท่านั้นนะคะ เรายังมีสูตรอื่นมานำเสนออีกหลายสูตรเลยคะ ...อย่าลืมติดตามอ่านกันนะคะ...

วันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2553

แชมพูปิดผมขาว บีสวอน BSY noni black hair magic

ความรู้เกี่ยวกับเส้นผม

จากหนังสือ
 เรียบเรียงจากการบรรยายของ อ.สุทธิวัส คำภา นักธรรมชาติบำบัดผู้มีชื่อเสียงรัดับประเทศ
หาซื้อมาอ่านเป็นประโยชน์มาก ท่านจะท่านจะทราบถึงแนวทางป้องกันและรักษาด้วยแนวทางธรรมชาติบำบัดอย่างง่ายๆ(ไฟฟ้า) ที่ทำร้ายหัวใจ และถ้าใช้ยาสระผม ยาย้อมผม รวมถึงการทาปาก การเขียนคิ้ว การทาเล็บ ที่มีสารเคมีเจือปนอยู่ สารเคมีเหล่านี้จะซึมผ่าน เข้าชั้นผิวหนังไปถึง เส้นเลือดฝอย แล้วส่งไปสะสมอยู่ที่ตับ ไต โดยตรง

       ถ้าเคมีตกค้าง จะส่งผลโดยตรงกับสมองส่วนหลัง ซึ่งมีหน้าที่คุม แขน ขา ทำให้แขนขาไม่มีแรง  
เมื่อเคมีตกค้างที่สมองส่วนกลาง แถวๆกระหม่อม จะมีผลต่อ สมองส่วนที่เก็บความจำ มีผลต่อการย่อยอาหาร ท้องจะอืด ท้องเฟ้อ ง่วงนอนบ่อย หาวนอน นั่งรถก็หลับ ป่วยเรื้อรัง
(
ใช้ยาสระผม ยาย้อมผมที่มีสารเคมีกับหนังศรีษะ ก็เท่ากับทำร้ายตับโดยตรง)

         การย้อมสีผมด้วยสารเคมี สารเคมีจะซึมเข้าสู่รูขุมขนในหนังศีรษะเนื่องจากย้อมตั้งแต่โคนผม ซึ่งหนังศีรษะมีรูขุมขนที่เปิดอยู่มากมายอย่างน้อยๆมีรูเส้นผม หนึ่งแสนรูขุมขน และมีต่อมเหงื่อ และต่อมไขมันมากมาย ถ้าใส่ยาย้อมผมที่มีสารเคมี หนังศีรษะจะรับสารเคมีตรงๆ ซึ่งสารเคมีจะซึมเข้าสู่ผิวหนังและเข้าสู่เส้นเลือดฝอย เข้าไปสู่เซลล์ต่างๆของร่างกาย ทำให้เซลล์ร่างกายกลายพันธุ์ และกลายเป็นมะเร็งได้มีการศึกษาย้อนหลังจากผู้ป่วยมะเร็งเต้านมและมะเร็งต่อมน้ำเหลืองพบว่ามีความสัมพันธ์กับการย้อมผมด้วยเคมี และพบว่าใครก็ตามที่ย้อมผมนานกว่า ย้อมผมบ่อยกว่ามีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งมากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่มีอายุเกิน

ถ้าวันนี้คุณมีทางเลือก

พบกับนวัตกรรมใหม่ล่าสุด จาก
 
แชมพู
 
ใช้แชมพู
B- Swan สระผม ทำให้ผมดำ ภายใน 10 นาที
ปราศจากสารเคมี และไฮโดรเยนเปอร์ออกไซด์ มีส่วนประกอบสมุนไพรธรรมชาติ 100 %
ลดการหลุดร่วงของเส้นผม และกระตุ้นการงอกใหม่ของเส้นผม ละลายไขมันที่อุดตันบนหนังศีรษะ
ปลอดภัย 100 %
 
แชมพู
NONI Black Hair Magic
เป็นแชมพูสมุนไพรธรรมชาติ ใช้แทนการย้อมผม โกรกสีผม โดยปราศจากสารเคมี
ส่วนประกอบจากธรรมชาติที่บริสุทธิ์ มีสมุนไพรสำหรับการบำรุงผมจำนวนมากกว่า
หลักที่สำคัญได้แก่

10 ชนิด สมุนไพร
โสม
(Gingseng)
มีหน้าที่ขจัดไขมันส่วนเกินที่อุดตันในรากผม จึงทำให้ลดการหลุดร่วงของเส้นผม ทำให้รากผมแข็งแรง
กระตุ้นการงอกใหม่ของเส้นผม

สมุนไพรจากลูกยอ
NONI
ช่วยทำให้สารอาหารไปเคลือบเส้นผมให้แข็งแรง และเงางาม เพราะสารอาหารในลูกยอ มีมากเกิน
140
ชนิด ที่สามารถเป็นสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อรากผม

สมุนไพรจีน
ห่อสิ่วโอ้ว” (Polygonum Multifunction Thunb)
ซึ่งมีหน้าที่ทำให้ผมเป็นสีดำธรรมชาติ ซึ่งเป็นสมุนไพรที่ใช้มาตั้งแต่ราชวงศ์ถัง ซึ่งสามารถบำรุงเส้นผม
รักษาอาการผมหงอกก่อนวัย มีประโยชน์ต่อสุขภาพผม และสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียบนหนังศีรษะได้เป็นอย่างดี


วิธีการใช้
1.
2
สวมใส่ถุงมือที่ให้มาในกล่อง (นิ้วของคุณอาจจะกลายเป็นสีเทา แต่ไม่มีผลข้างเคียงต่อสุขภาพ)สระผมด้วยแชมพูสมุนไพรทั่วไป 1 รอบ และเช็ดผมให้หมาดๆกับผ้าขนหนู
3.
ฉีกซองแชมพูเฉียงมุมใดมุมหนึ่ง
4.
ชโลมแชมพูลงบนเส้นผมอย่างรวดเร็ว (สามารถชโลมแชมพูจนถึงโคนผมได้) และนวดเบาๆให้ทั่ว ทิ้งไว้ประมาณ 7-10นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำให้สะอาด
แล้วคุณจะพบกับมหัศจรรย์ดกับเส้นผมของคุณ
อย่างคาดไม่ถึง


แชมพู NONI Black Hair Magic Testimony
สร้างความประทับใจให้กับหลายท่านที่ได้สัมผัสแล้ว
B-Swan Black Hair Magic
USA

50 ปี หรือคนที่ย้อมผมมากกว่า 10 ปี จะมีโอกาสเสี่ยงสูงมาก ดังนั้นถ้าไม่ต้องการมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง ให้หันมาใช้วิธีย้อมผมแบบธรรมชาติที่มีส่วนประกอบของสมุนไพร และปราศจากสารเคมีจะดีที่สุด

         เส้นผมบนศีรษะควรเป็นสีดำ ตามเผ่าพันธุ์ของคนไทย ถ้าโกรกผม ย้อมผมเปลี่ยนสีเป็นสีอื่น จะมีผลต่อหัวใจ ทำให้หัวใจไม่แข็งแรง เพราะสีดำจะช่วยกรองคลื่น ความถี่
         ควรหาน้ำยาที่เป็นสมุนไพรที่ไรสารเคมี มาใช้กับผิวหนังจะดีที่สุด ถ้าใช้สารเคมีบ่อย ตับจะสะสมสารเคมีไปตลอดชีวิต เป็นเหตุให้เจ็บป่วยได้หลายประการ เช่น ปวดใต้เข่า ร้าวไปถึงส้นเท้า ขาไม่มีแรง ปวดที่น่องร้าวไปถึงผ่าเท้า ผมร่วง
กินเป็นลืมป่วยหนังสือขาย ดีปี 50

วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

ขาย มะรุม แคปซูลมะรุม มะรุมแคปซูล พืชมหัศจรรย์ รักษาสารพัดโรค

จำหน่าย 
 
มะรุมแคปซูล
 
 
ราคา 1 กระปุก   100 แคปซูล   =  150 บาท  + ค่าส่ง 20 บาท

บรรจุ แคปซูลละ 500 มก. (ใบมะรุม 100%)

ซื้อ  5 กระปุก ขึ้นไป ส่งฟรี

สนใจติด  คุณปัทมพร  080-3432553

จ.เพชรบรณ์  ปลูกเอง ขายเองค่ะ ผลิตภัณฑ์โฮมเมด
รับรองความสะอาด ใบมะรุมต้นขนาด 5 ปีขึ้นไป  

อีเมลล์  online_richteam@hotmail.com 


ข้อควรระวัง
ห้าม..ผู้ที่เป็นโรคเลือดG6PD (โรคเม็ดโลหิตแดงแตกกระจาย) และ สตรีมีครรภ็..
ไม่ควรรับประทานหรือก่อนรับประทานควรปรึกษาแพทย์ ..
ผู้ที่แพ้สมุนไพรทุกชนิด หรือเป็นภูมิแพ้อย่างรุนแรง



อ้างอิงจาก : หนังสือนาฬิกาชีวิต ตอน 2 "มะรุม พืชสมุนไพรหลากประโยชน์ " โดย รศ.ดร วิมล ศรีสุข ซึ่งอยู่ในจลสารข้อมูลสมุนไพรฉบับ 26 (4)


วิธีรับประทาน : ทานครั้งล่ะ 1-2 แคปซูล วันละ 1-2 ครั้งก่อนอาหาร


ส่วนประกอบสำคัญ : ใบมะรุม 100 %

มะรุม ต้นไม้เพื่อชีวิต

มะรุม ต้นไม้เพื่อชีวิต
 
 

คำนำ / บทสำนึกคุณ จากผู้เขียนหนังสือ

ข้อมูลคร่าวๆ จากแหล่งอ้างอิง

ประสบการณ์ตรงจากชีวิตจริง

มะรุมรักษาโรคเอดส์ (AIDS)

ตำราอาหารเกี่ยวกับมะรุมและธรรมชาติบำบัด



              ทุกท่านที่อ้างอิงถึงต่อไปนี้ มีตัวตนจริงและยังมีชีวิตอยู่ บางท่านอนุญาตให้ลงนามจริงได้ บางท่านได้ขอร้องไม่ให้ระบุชื่อ ผลที่เกิดกับแต่ละท่านแตกต่างกันไปตามสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล ก่อนจะนำไปใช้กับตนเอง ขอให้ใช้วิจารณญาณของท่านเอง และถ้าเป็นไปได้ก็ขอให้ปรึกษาแพทย์อย่างใกล้ชิด และห้ามหยุดยารักษาโรคทุกชนิดที่รับประทานอยู่ จนกว่าจะได้รับคำสั่งจากแพทย์ผู้ทำการรักษาให้ลดขนาดหรือหยุดการใช้ยา อย่าเสี่ยงกับสุขภาพของท่านเพียงเพราะอ่านจากหนังสือเท่านั้น ผู้เขียนเองในขณะที่รับประทานมะรุมในเบื้องต้น ก็ได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิดเช่นกัน หลังจากการรับประทานติดต่อกันมาเป็นเวลา 3 ปีครึ่ง จึงเห็นผลที่คุ้มค่า

               คุณกรองทอง ชุติมา เป็นผู้หนึ่งที่มีส่วนร่วมในการเลี้ยงดูผู้เขียนมาตั้งแต่เกิด ท่านเป็นน้องสาวคนเดียวของคุณสุรพล อนุสารสุนทร บิดาของผู้เขียน เมื่อท่านทราบว่าผู้เขียนหายขาดจากโรคหลายชนิดเพราะผงใบมะรุม ท่านก็ให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่ง คุณปู่ของผู้เขียน คุณหลวงอนุสารสุนทร เป็นนักค้นคว้าและวิจัยสมุนไพรสมัครเล่น คุณอาจึงเติบโตมากับสมุนไพร เมื่อได้ทราบประโยชน์ของมะรุม คุณอาจึงเริ่มรับประทานมะรุมผงตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา นับเป็นเวลาประมาณ 4 ปีแล้ว

ขณะนี้ท่านมีอายุ 90 ปีเต็ม ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา ท่านไม่เคยเจ็บป่วยเลย กลับมีสุขภาพแข็งแรงจนเป็นที่กล่าวขวัญถึงของคนทั่วไปที่รู้จักท่าน อีกทั้งผิวพรรณของท่านก็ดูสดใส นอกจากนั้นท่านยังได้ให้ความสำคัญและพยายามเผยแพร่เรื่องมะรุมไปยังบุคคลหลายระดับ แม้แต่การจัดหาพันธุ์มะรุมแจกจ่ายไปตามหน่วยงานการกุศล และชาวบ้านทั่วไป รวมทั้งพยายามให้สถาบันราชภัฎเชียงใหม่ทดลองปลูกด้วย

             ในจำนวนคนที่ได้รับผลดีเป็นอย่างมากจากการใช้ใบมะรุมผง ได้แก่บุคคลในครอบครัว คือน้องสาวคนเล็กและพี่สาวคนรอง ก้อนเนื้อที่เต้านมของน้องสาว เริ่มทำท่าจะโตขึ้น แพทย์จึงนัดทำการตัดชิ้นเนื้อไปพิสูจน์ให้แน่ใจว่าไม่ได้เป็นมะเร็ง เผอิญเป็นเวลาที่น้องสาวเริ่มรับประทานผงมะรุม เมื่อถึงเวลาที่แพทย์ตรวจ ปรากฎว่าก้อนเนื้อที่มีมานานได้หายไปอย่างน่าประหลาดใจ และไม่กลับมาอีกเลยจนทุกวันนี้ ส่วนพี่สาวคนรองมีอาการมากว่าคือเจ็บมาก แพทย์ที่สหรัฐอเมริกาตรวจแล้วลงความเห็นว่า อาจจะเป็นมะเร็งทรวงอก จึงขอตัดชิ้นเนื้อไปพิสูจน์ ผู้เขียนจึงได้ขอร้องให้พี่สาวลองรับประทานผงมะรุมดู 4 เดือน หลังจากนั้นผลการตรวจครั้งที่ 3 ที่ประเทศฮอลแลนด์พบว่า ก้อนเนื้อนั้นได้หายไปแล้ว ข้อเขียนนี้ไม่ได้ยืนยันว่า ใบมะรุมช่วยรักษาโรคมะเร็งได้ เพราะหลักฐานในการพิสูจน์ยังมีไม่มากพอ เพียงแต่เป็นประสบการณ์เฉพาะบุคคลเท่านั้น

เพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งที่วัดป่าธรรมชาติ ก็มีลักษณะเช่นเดียวกัน คือ หมอตรวจเจอก้อนเนื้อที่ทรวงอก แต่หลังจากรับประทานผงมะรุมแล้ว ก้อนเนื้อนั้นก็หายไป นี่เป็นสัญญาณที่ดีและพอจะมีความหวังได้ว่า ผงมะรุมอาจช่วยคลี่คลายปัญหาได้ หากท่านรู้จักผู้ที่ประสบปัญหาเช่นเดียวกันนี้ ช่วยบอกต่อๆ กันไปจะเป็นพระคุณยิ่ง

ในการรักษาโรคคอหอยพอกชนิดมีพิษนั้น ตัวผู้เขียนได้รับความสำเร็จ 100% โดยใช้เวลาจริงๆ เพียงแค่ 3 เดือนภายใต้การควบคุมอย่างใกล้ชิดของแพทย์ผู้รักษา หากท่านอยากจะนำไปรักษา ควรปรึกษาแพทย์ขอความช่วยเหลือ เพราะร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะผู้ชายจากากรสำรวจทดลองของผู้เชี่ยวชาญพบว่า ได้ผลเพียง 75% สำหรับการควบคุมนั้นต้องใช้ระยะยาว ผู้เขียนยังไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับโรคคอหอยพอกชนิดไม่มีพิษท่ านที่ประสบผลสำเร็จกรุณาแจ้งให้ทราบจะเป็นพระคุณยิ่ง

ปัญหาส่วนใหญ่ของผู้สูงอายุคือการหกล้ม ส่วนใหญ่มักจะกลายเป็นเรื่องร้ายแรงจนถึงแก่ชีวิตได้ ดังนั้น ถ้าเราสามารถเสริมสร้างให้กระดูกแข็งแรงแล้วผลร้ายของการหกล้มก็จะลดน้อยลง ประสบการณ์เรื่องกระดูกนี้มีผู้ได้รับผลประโยชน์มากมาย ผู้เขียนเองเห็นผลเป็นคนแรก หลัง่จากนั้นเพื่อนของพี่สาวคนโตที่เมืองโอคาล่าประสบอุบัติเหตุตกจักรยาน ไหปลาร้าหัก แขนหัก 2 ท่อน เนื่องจาก JANE (นามสมมุติ) มีอายุ 60 ปี และยังมีอาการเบาหวานแทรกซ้อนจึงเป็นการยากลำบากอย่างยิ่งในการรักษา แพทย์ประเมินผลว่าการรักษาจะต้องใช้เวลาเป็นแรมปี เมื่อผู้เขียนทราบข่าวจึงได้เล่าประสบการณ์ส่วนตัวให้ฟัง เนื่องจาก JANE เป็นเพื่อนรักของพี่สาวจึงบังคับให้เธอรับประทานใบมะรุมสดทุกวันและทุกมื้อ ขนาดลงทุนปลูกต้นมะรุมไว้ถึง 2 ต้น ผลการรักษาเป็นที่น่าพอใจจนแพทย์แปลกใจ ในระยะเวลา 8 เดือน JANE ก็หายสนิท และในช่วงนั้นอาการเบาหวานก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจ

PHYLLIS สุภาพสตรีอายุ 80 กว่า หกล้มขาหัก เนื่องจากอยู่ในวัยชรา แพทย์ผู้รักษาจึงไม่ให้ความหวังแต่อย่างใด พี่สาวไปพบเข้าก็เกิดความสงสาร จึงถามว่าจะลองดูไหม แต่จะมาฟ้องร้องกันทีหลังไม่ได้ ข่าวที่ JANE หายอย่างรวดเร็วแพร่ไปทั่วหมู่บ้าน PHYLLIS จึงตกลงที่จะลอง ครั้งนี้พี่สาวให้รับประทานแบบแคปซูลวันละ 8 เม็ด อาการหายเป็นปกติภายในเวลา 6 เดือน เดือนมิถุนายน 2006 ผู้เขียนไปเยี่ยมพี่สาวที่ฟลอริด้า เธอได้เดินทางมาขอบคุณผู้เขียนด้วยตัวเอง และคุยอวดว่าขณะนี้เธอสามารถไปเล่นโบว์ลิ่งได้ทุกอาทิตย์อีกด้วย ปัจจุบันในหมู่บ้านแห่งนี้มีผู้ป่วยกระดูกหัก และหายเพิ่มขึ้นอีกหลายคน ถ้าท่านมาเที่ยวจะรู้สึกประหลาดใจที่เห็นต้นมะรุมปลูกอยู่หลายครัวเรือน

เดือนพฤศจิกายน 2549 คณลออวรรณ ศรีกรานนท์ แจ้งมาว่า ท่านศาสตราจารย์ ดร.แมนรัตน์ ศรีกรานนท์ ประสบอุบัติเหตุล้มฟาดบนพื้นซีเมนต์ลานจอดรถของศูนย์การค้าแห่งหนึ่ง ท่านได้รับบาดเจ็บใบหน้าซีกหนึ่งบวมและแตก แขนและเข่าแตกเป็นแผลลึก เนื่องจากท่านมีโรคเรื้อรังประจำตัวคือเบาหวาน จึงเป็นที่หวั่นวิตกของทุกคนในครอบครัวว่า บาดแผลอาจจะลุกลามแต่เนื่องจากมีน้ำมันมะรุมเป็นยาสามัญประจำบ้าน จึงได้รีบนำมาทาแผล ผลปรากฎว่าแผลที่ใบหน้าหายภายใน 3 วัน ส่วนแผลที่แขนและหัวเข่าหายภายใน 10 วัน

มีผู้ป่วยโรคความดันโลหิตเป็นจำนวนมากเช่นเดียวกับโรคเบาหวาน และมีผู้รับประทานเป็นจำนวนมากให้การยืนยันว่า ความดันโลหิตอยู่ในภาวะที่ควบคุมได้

ผู้เขียนมีเพื่อน 3 คน เป็นมะเร็งต่างชนิดกัน และผ่านการรักษามาแล้ว เมื่อหันมารับประทานมะรุมก็สามารถช่วยให้มีสุขภาพที่สมบูรณ์และแข็งแรง คนแรกเป็นมะเร็งลำไส้ ผ่านการรักษาด้วยกัมมันตภาพรังสีมาครบ 3 ครั้ง ภูมิต้านทานตกต่ำถึงที่สุด ผู้เขียนได้ส่งผงมะรุมจากอเมริกาไปให้รับประทานทุกเดือน ขณะนี้ผลเป็นที่น่าพอใจ ร่างกายแข็งแรงขึ้นมาก เมื่อถึงเวลาพบแพทย์ตามนัด ผลตรวจเป็นที่น่าพอใจ ทุกท่านยืนยันว่าภูมิต้านทานดีมาก และไม่มีอาการอ่อนเพลีย

คนที่สองเป็นลูกสาวเพื่อน เธอเป็นมะเร็งเต้านม ผ่านการผ่าตัดมาแล้ว 2 ครั้ง ขณะนี้ได้ลุกลามไปถึงบริเวณกระดูกแล้ว เธอมีกำลังใจดี ร่างกายแข็งแรง ไม่เคยมีอาการแพ้ยาแต่อย่างใด หลังการผ่าตัดเธอก็สามารถฟื้นขี้นมาได้อย่างรวดเร็ว และสามารถขับรถได้ด้วย เธอรับประทานทั้งใบแห้งและเมล็ดมะรุมเป็นประจำ ขณะดียวกันก็รับประทานเห็ด 3 อย่างตามคำแนะนำของท่านอาจารย์สุทธิวัสส์อย่างสม่ำเสมอ ถึงแม้ว่าอาการมะเร็งยังไม่หายไป แต่เธอก็เชื่อว่าทั้งมะรุมและเห็ดมีส่วนทำให้ร่างกายของเธอแข็งแรง และพร้อมที่จะต่อสู้โรคร้ายต่อไป ขณะนี้เธอกำลังรอการตัดสินจากแพทย์ว่าจะต้องรักษาด้วยกัมมันตภาพรังสีหรือไม่

คนสุดท้ายเป็นเพื่อนสนิท เป็นมะเร็งที่ปีกมดลูก ผ่าตัดมาเรียบร้อยแล้ว หลังการผ่าตัดเธอรับประทานทั้งมะรุมผงและมะรุมเม็ด รวมทั้งเห็ด 3 อย่าง ขณะนี้แพทย์ให้ความเห็นว่า มะเร็งหายสนิทแล้ว แต่เพื่อความไม่ประมาทเธอก็ยังไปรับการตรวจจากแพทย์อย่างสม่ำเสมอ

โรคเก๊าท์เป็นโรคที่ทรมาน ผู้ติดตามคุณย่าของผู้เขียน เสียชีวิตด้วยโรคเก๊าท์ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่หลายคนวิตก โดยเฉพาะในอเมริกามีคนเป็นโรคนี้กันมาก วันหนึ่งคนเช่าบ้านของผู้เขียนเป็นชาว TRINIDAD ชื่อ CLEO LEWIS เกิดมีอาการปวดบวมด้วยโรคเก๊าท์จนเดินไม่ได้ และทรมานมากจนแทบทนไม่ไหว ขณะนั้นเป็นเวลาดึกมากแล้ว ประกอบกับเธอไม่มีประกันสุขภาพ ผู้เขียนจึงตัดสินใจใช้น้ำมันมะรุมทาให้ในคืนนั้น และให้รับประทานเมล็ดมะรุม 4 เม็ด 3 เวลาและก่อนนอน ปรากฎว่าโรคเก๊าท์หายไปภายใน 3 วัน

เพื่อนที่ทำงานมีอาการปวดขาเนื่องจากวัยชรา เมื่อลองใช้น้ำมันมะรุมทาอาการปวดก็ทุเลาลง

TAMMY บุตรสาวคุณรัตตินันท์ แจ้งมาว่า น้ำมันมะรุมใช้ได้ผลดีสำหรับเด็กเล็กทีแพ้ผ้าอ้อม เธอใช้กับบุตรสาววัย 6 เดือนเสมอๆ คุณรัตตินันท์เองก็ชื่นชอบน้ำมันมะรุมเป็นอย่างมาก ที่ช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยบั้นเอว เพราะต้องอุ้มและวิ่งตามหลานชายอายุ 1 ขวบ วันหนึ่งเกิดมีอาการปวดหลัง่บริเวณบั้นเอวเป็นอย่างมากจนก้มตัวลงไม่ถนัด นอนตะแคงก็ไม่ได้ เธอมีน้ำมันมะรุมไว้ใช้ประจำบ้าน จึงรีบใช้น้ำมันทาก่อนนอน และลุกขึ้นมาทาซ้ำอีกกลางดึก ปรากฎว่าวันรุ่งขึ้นอาการปวดทุเลาลงจนเกือบหาย จากนั้นเธอไม่ลืมทาน้ำมันมะรุมทุกเช้าและก่อนนอนเป็นประจำ เพื่อป้องกันอาการปวดหลัง และช่วยบำรุงกล้ามเนื้อและกระดูก

น้ำมันมะรุมยังมีคุณสมบัติชะลอความชราได้ด้วย จะใช้ทานโดยตรงหรือผสมโลชั้นหรือน้ำมันอื่นที่ท่านชอบ เมื่อทาแล้วผิวหน้าจะเนียน นุ่มนวลและง่ายต่อการแต่งหน้า ทั้งยังทำให้เครื่องสำอางติดทน ข้อดีอีกอย่างของน้ำมันมะรุมคือดูดซึมง่าย และไม่เหนียวเหนอะหนะเช่นน้ำมันชนิดอื่นๆ

โรคฉี่หนูกำลังเป็นโรคที่น่ากลัวและยังไม่มียารักษา แต่จากการใช้ลูกดิ่งประเมินผล อาจารย์สุทธิวัสส์พบว่า ถ้ารับประทานเมล็ดมะรุมวันละ 12 เม็ดติดต่อกันเป็นเวลา 20 วัน และทุกครั้งที่ต้องย่ำน้ำให้ทาน้ำมันมะรุมที่เท้าและง่ามเท้า จะช่วยให้พ้นอันตรายจากโรคฉี่หนูได้

เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2550 อาจารย์นวลฉวีได้รับข่าวเป็นที่น่ายินดีจากนายแพทย์เปี่ยมโชค ชลิดาพงศ์ ว่าท่านมีคนไข้ผู้ไม่ประสงค์จะออกนาม แต่มีความยินดีที่จะนำอาการป่วยมาเผยแพร่เป็นวิทยาทานแก่คนทั่วไป คู่ครองได้เสียชีวิตด้วยโรคเอดส์ และผู้ป่วยได้รับเชื้อโรคร้ายนี้มาจากคู่ครอง เมื่อตอนมาพบคุณหมอนั้น อาการทรุดมากแล้ว สุดวิสัยที่จะเยียวยา แต่เนื่องจากศรัทธาที่มีต่อคุณหมอในเกียรติคุณด้านโภชนบำบัด ผู้ป่วยได้วิงวอนให้คุณหมอหาทางช่วยชีวิต ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม

คุณหมอเปี่ยมโชคเล่าว่า เมื่อพบครั้งแรกนั้นผลของ Viral สูงมาก และผลของ CD4 มีปริมาณที่ต่ำจนถึงจุดอันตราย ในวาระนั้นเองท่านผู้นี้ได้รับการแนะนำจากเพื่อนให้รับประทานมะรุมเมล็ดที่แก่จัดวันละ 12 เม็ด ขณะนี้ได้รับประทานมาเป็นเวลา 3 เดือนแล้ว ในระหว่างนี้ก็ยังรับการดูแลจากคุณหมออย่างสม่ำเสมอ จึงทำให้ท่านได้เห็นผลก้าวหน้าอย่างใกล้ชิด จากการตรวจครั้งสุดท้ายผลปรากฎว่า ปริมาณของเชื้อ Viral ลดลงต่ำกว่า 50 หน่วย ซึ่งถือได้ว่าต่ำมาก และผลของ CD4 มีปริมาณสูงถึง 500 หน่วย ในคนปรกติโดยทั่วไปจะมีราวๆ 700-800 สภาพร่างกายโดยทั่วๆ ไป ของผู้ป่วยดูสมบูรณ์แข็งแรงเหมือนคนปรกติ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง

แต่เนื่องจากคุณหมอเปี่ยมโชคเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านโภชนบำบัดโดยเฉพาะ ท่านจึงกรุณาให้ข้อสังเกตและแนะนำว่า เม็ดมะรุมมีตัวยาประกอบที่สำคัญตัวหนึ่ง ซึ่งหากรับประทานติดต่อเป็นระยะเวลานาน จะเกิดผลเสียต่อร่างกายมากกว่าผลดี ท่านจึงเป็นสมควรว่า เมื่อร่างกายกลับเข้าสู่สภาวะปรกติแล้ว ควรจะหยุดการใช้เสีย ส่วนการที่จะเสริมสร้างภูมิต้านทานให้อยู่ในระดับปรกตินั้น สมควรหาอาหารที่เป็นยาชนิดอื่นมาทดแทน ในกรณีนี้จากการสำรวจงานวิจัยของแพทย์หลายๆ ท่าน ในต่างประเทศซึ่งจะหาดูได้จากเว็บไซต์อเมริกัน http://www.PUBMED.GOV จะเห็นว่ามะรุมผงสามารถเสริมสร้างภูมิ-ต้านทานให้แก่ร่างกายได้เป็นอย่างดี แต่ถึงอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและความพร้อมของแต่ละบุคคลเป็นสำคัญ และเพื่อความไม่ประมาทควรหมั่นให้แพทย์แผนปัจจุบันตรวจดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ

ขอกราบขอบพระคุณในเมตตาจิตของคุณหมอเปี่ยมโชค ชลิดาพงศ์ ที่กรุณาอนุญาตให้นำข้อมูลมาเผยแพร่เป็นวิทยาทานแก่เพื่อนร่วมชาติ

ในขณะเดียวกันได้มีโอกาสพบท่านนายแพทย์วิฑูร จารุประกร ท่านได้ให้ความสนใจมะรุมเป็นอย่างมาก และได้ติดตามวิจัย ศึกษาพอสมควร ท่านได้ส่งเสริมให้มีการรับประทานพืชผักผลไม้เป็นประจำ มะรุมเป็นพืชชนิดหนึ่งที่ท่านสนับสนุนให้รับประทานอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งชักจูงให้ปลูกไว้ในครัวเรือนด้วย โดยใหคำอธิบายว่า ใบมะรุมมีสรรพคุณเป็นยาที่ออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ เพราะมีคาโรตินอยด์ในปริมาณสูง


มะรุม ต้นไม้มหัศจรรย์
จากหนังสือ นาฬิกาชีวิต ตอน ๒
เขียนโดย ดร.วิไลวรรณ อนุสารสุนทร

คนเป็นโรค G6PD หรือ ทาลัสซีเมีย ห้ามทานมะรุม

คนเป็น โรค G6Pd หรือทาลัสซีเมีย 
 ห้ามทาน  มะรุม เด็ดขาด

G6PD หรือ Glucose-6-Phosphate
Dehydrogenase
เป็นเอ็นไซม์ชนิดหนึ่งที่อยู่ในเซลล์
ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในขบวนการการใช้พลังงาน และสร้างสารต่าง ๆ ในเซลล์ เช่น ขบวนการ
Hexose monophosphate shunt สารสำคัญที่ได้จากขบวนการนี้คือ NADPH (Nicotinamide
Dinucleotide Phosphate) ซึ่งใช้ในขบวนการกำจัดสารที่เป็นพิษต่อเซลล์
หรือสิ่งแปลกปลอมออกไป เซลล์ที่มีความจำเป็นต้องพึ่งขบวนการนี้มาก ได้แก่
เม็ดเลือดแดงเนื่องจากไม่มีนิวเคลียสและ organelles อื่นๆ
ที่ทำหน้าที่ทำลายสารพิษได้



โรคขาดเอ็นไซม์ G-6-PD หรือภาวะพร่องเอนไซม์ จีซิกพีดี
( G6PD Deficiency : Glucose-6-Phosphate Dehydrogenase deficiency)


หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อ โรคแพ้ถั่วปากอ้า(Favism) เป็นโรคทางพันธุกรรม
มีการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ผ่านทางโครโมโซมเอกซ์ (X-linked recessive fashion)
ทำให้มีผลกระทบต่อเพศชายมากกว่าเพศหญิง
ผู้ชายจะเป็นโรคโดยได้รับยีนมาจากมารดาที่เป็นพาหะ พ่อที่เป็นโรค
จะถ่ายทอดพาหะให้ลูกสาวทุกคน
เด็กที่ป่วยเป็นโรคนี้จะไม่แสดงอาการอะไรนอกจากตัวเหลืองตอนแรกเกิด



การวินิจฉัยโรค ใช้การตรวจสอบทางพันธุกรรม
ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของยีนที่สร้างเอ็นไซม์ดังกล่าว ทำให้สร้างเอ็นไซม์นี้ไม่ได้

สิ่งสำคัญ คือ เอ็นไซม์นี้มีความสำคัญในการสร้างสาร Glutathione ซึ่งมีหน้าที่ทำลาย
oxidizing agents ต่าง ๆที่เกิดขึ้นจากยา หรือภาวะการติดเชื้อต่าง ๆ ให้หมดฤทธิ์ไป
ความสำคัญของเอ็นไซม์นี้อยู่ที่เม็ดเลือดแดง ถ้าผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ ได้รับ
oxidizing agents เช่นยาบางชนิดหรือ การติดเชื้อในร่างกาย
จะทำให้เม็ดเลือดแดงไม่สามารถทนทานได้ และเกิดเม็ดเลือดแดงแตกเฉียบพลัน
เกิดซีดเฉียบพลัน ปัสสาวะดำหรือสีเข้มจากสีของฮีโมโกลบิน และอาจเกิดไตวายได้



สารหรือยาที่ทำให้เกิดเม็ดเลือดแดงแตกได้บ่อยได้แก่ ยารักษามาเลเรียบางชนิด,
ยาซัลฟา,ยาปฏิชีวนะบางชนิดและถั่วปากอ้า เป็นต้น

นอกจากนี้การติดเชื้อต่าง ๆ เช่นเป็นไข้หวัด หลอดลมอักเสบ
ก็ทำให้เกิดเม็ดเลือดแดงแตกได้ จึงจำเป็นต้องแจ้งให้แพทย์ พยาบาลทราบ และรักษา
รวมทั้งเลี่ยงยาที่อาจทำให้เกิดอาการได้



อาการที่เกิดขึ้นเมื่อได้รับยาเหล่านี้

ผู้ป่วยจะซีดลงทันทีเนื่องจากเม็ดเลือดแดงแตกในหลอดเลือด
จะสังเกตเห็นปัสสาวะเป็นสีดำหรือสีโคล่า
เนื่องจากฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงถูกกรองออกมากับไต ซึ่งจำเป็นต้องนำส่ง รพ.เพื่อให้การรักษาแบบประคับประคองทันที


อันตรายที่เกิดขึ้นเมื่อมีเม็ดเลือดแดงแตกเฉียบพลัน (Hemolytic crisis) เช่นนี้คือ
ภาวะไตวาย
เนื่องจากไตขาดเลือดเฉียบพลันเพราะขาดเม็ดเลือดแดงที่นำออกซิเจนมาหล่อเสี้ยง(เม็ดเลือดแดงแตกหมด)
และยังได้รับฮีโมโกลบินปริมาณมาก ซึ่งเป็นพิษต่อไตโดยตรง



การรักษา

เป็นการรักษาตามอาการแบบประคับประคอง เช่น การให้เลือด,การให้น้ำในปริมาณที่เพียงพอเพื่อป้องกันไตวาย


ส่วนการแตกของเม็ดเลือดแดงจะหยุดได้เอง โรคนี้ไม่มีการรักษาที่หายขาดในขณะนี้

สิ่งที่ดีที่สุดคือ การให้คำปรึกษาและร่วมวางแผนระหว่างครอบครัวและแพทย์
การหาผู้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรค

การให้คำแนะนำและปรึกษาเกี่ยวกับโรค
จะทำให้โอกาสให้กำเนิดบุตรที่เกิดมาเป็นภาระต่อพ่อแม่น้อยลง



การปฏิบัติตัว

1. แจ้งให้แพทย์ทราบเสมอว่าเป็นโรคนี้

2. เมื่อเกิดอาการไม่สบาย ควรปรึกษาแพทย์ ไม่ซื้อยากินเอง

3. เมื่อเกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตก ควรเข้าโรงพยาบาลเพื่อให้การรักษาทันที

4. หลีกเลี่ยงยาหรือสารที่อาจทำให้เกิดอาการ

5. เมื่อจะมีบุตร ควรได้รับคำแนะนำจาแพทย์
เรื่องการถ่ายทอดไปยังลูกเพื่อประโยชน์ในการตัดสินใจวางแผนครอบครัว



อาหารต้องห้าม


นอกจากยาแล้วอาหารที่รับประทานก็พบว่ามีผลต่อเม็ดเลือดแดงของผู้ป่วยเช่นกัน นั่นคือ
ถั่วปากอ้า (Fava bean) โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าถั่วนั้นยังดิบอยู่ และลูกเหม็น (napthalene)
ที่ใช้อยู่ประจำตามบ้านค่ะ




* คนที่มีภาวะพร่องเอนไซม์ จีซิกพีดี ( G6PD Deficiency)
จึงไม่ควรรับประทานใบและเมล็ดมะรุมเพราะมีสารชนิดเดียวกับที่มีอยู่ในถ้วปากอ้า


* โพลีไซทีเมียเวอร่า เป็นภาวะเลือดข้น ที่เกิดจากความผิดปกติของการสร้างเม็ดเลือด
ทั้งเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด ซึ่งมักพบในผู้สูงอายุ
หรือผู้ที่มีม้าม หรือฮอร์โมนผิดปกติ

ซึ่งสารในมะรุมไม่ส่งผลต่อภาวะนี้
และน่าจะมีผลดีต่อการสร้างภูมิต้านทานในร่างกายได้มากขึ้น *

วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553

ประโยชน์จากใบมะรุมสด : มะรุมแคปซูล

ประโยชน์จากใบมะรุมสด


จาก "มะรุม ต้นไม้มหัศจรรย์เพื่อชีวิต โดยคุณวิไลวรรณ อนุสารสุนทร จากหนังสือ นาฬิกาชีวิต ตอน ๒" ทางเว็บไซต์ขอความกรุณาคัดลอกบทความจากหนังสือดังกล่าว นำมาเผยแพร่ เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อบุคคลทั่วไป รายละเอียดของหนังสือมีดังต่อไปนี้ :

ประโยชน์จากใบมะรุมสด

เพื่อให้ได้ประโยชน์เต็มที่ ควรรับประทานใบสดที่ไม่แก่หรืออ่อนเกินไป การใช้ใบสดปรุงอาหารต่าง ๆ สามารถทำได้ตามความต้องการและความถนัดเนื่องจากใบมะรุมมีธาตุเหล็กสูง ฉะนั้นจึงไม่ควรให้ทารกในวัยเจริญเติบโตถึง 2 ขวบ รับประทานในปริมาณที่มากเกินไป



ใบมะรุมสดก็เหมือนผักใบเขียวทุกชนิด ไม่ควรรับประทานเป็นจำนวนมากเพราะจัดเป็นยาถ่ายประเภทหนึ่ง เมื่อเริ่มรับประทาน บางท่านอาจจะมีอาการท้องเสียอาการต่าง ๆ มิได้เกิดขึ้นกับทุกคน เข้าใจว่าเป็นไปตามสภาพร่างกายของแต่ละคน ผู้เขียนมีอาการง่วงขนาดหนักจนขับรถแทบไม่ได้ส่วนบุตรชายของผู้เขียนและ ดร.ภาธร ศรีกรานนท์ มีผื่นลมพิษทันทีหลังรับประทาน
               ผู้เขียนได้ปรึกษาเรื่องนี้กับท่านอาจารย์สุทธิวัสส์ คำภา ซึ่งท่านได้ให้คำอธิบายว่า เป็นผลมาจากการที่ร่างกายได้สะสมสารพิษไว้เป็นจำนวนมาก หากเกิดอาการเช่นนี้ให้หยุดรับประทานชั่วคราวแล้วเริ่มใหม่ ทำเช่นนี้หลาย ๆ ครั้ง อาการจะดีขึ้นตามลำดับ
              จากผลการทดลองของเวิร์ดเชิสยังไม่พบผู้มีอาการแพ้เลยแต่สำหรับประเทศ ไทยนั้น ท่านอาจารย์สุทธิวัสส์  พบว่า   มีผู้เกิดอาการแพ้ภายหลังรับประทานใบมะรุม โดยมีอาการวิงเวียนศีรษะ ในกรณีนี้ท่านแนะนำให้รับประทาน ใบแมงลัก อาการวิงเวียนศีรษะก็จะหายไป การรับประทานใบสด ไม่ควรถูกความร้อนนานเพราะจะทำให้สูญเสียสารอาหารหลายชนิด ใบสดใช้จิ้มน้ำพริก ใส่แกง ใส่สลัด และแซนด์วิช ใบสดเปล่า ๆ จะมีรสเผ็ด แต่เมื่อรับประทานกับข้าวหรือแซนวิชจะไม่รู้สึกเผ็ดเลย

จาก หนังสืออ้างอิงของ ดร.ฟุคเล่ย กล่าวว่า ถ้าคั้นใบมะรุมสดดื่มวันละ 1 ช้อนโต๊ะ จะสามารถรักษาอาการของโรคเบาหวานได้ และควบคุมความดันโลหิตสูงได้ด้วย

การรับประทานใบมะรุมสดสำหรับเด็กเล็ก ที่เริ่มรับประทานอาหารจนถึงอายุ 3 - 4 ขวบ ควรใส่เพียงเล็กน้อย

ถ้าคั้นเป็นน้ำ ควรใส่เพียงวันละ 1 – 2 หยด ผสมอาหารหรือเครื่องดื่มยกเว้นเด็กที่ขาดสารอาหารอย่างรุนแรง จึงควรเพิ่มขนาดตามสมควร จากนั้นจึงค่อยเพิ่มปริมาณทีละน้อย ๆ ตามอายุและความเหมาะสม ไม่ควรให้เกินขนาดเพราะสำหรับเด็กในวัยเติบโต การให้ธาตุเหล็กเกินขนาดกลับจะให้โทษมากกว่าคุณ

วัยรุ่นและผู้ใหญ่ วันละ 1- 3 กิ่ง รับประทานสด หรือใช้ประกอบอาหารก็ได้ ถ้าจะให้ได้ผลเร็วควรคั้นประมาณวันละ 1 ช้อนโต๊ะ สำหรับผู้ใหญ่และ 1 ช้อนชาสำหรับ เด็กวัยรุ่น ถ้ามีอาการท้องเสียให้ลดจำนวนลง แล้วค่อย ๆ เพิ่ม อาการจะดีขึ้น การรับประทานสม่ำเสมอจะสร้างภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย


ผู้เขียนและสมาชิกในครอบครัว ตลอดจนเพื่อน ๆ รวมทั้งพระสงฆ์วัดป่าธรรมชาติหลายรูปรับประทานเป็นประจำ ในระยะ 3 – 4 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยเจ็บป่วยหรือเป็นไข้หวัด หรือแม้แต่อาการปวดศีรษะอย่ารุนแรงที่เคยเป็นมานานก็ พลอยหายไปด้วย จะมีก็แต่อาการหวัดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

การรับประทานใบตากแห้งจะให้ผลดีกว่าใบสด
 เพราะสามารถรับประทานได้มากกว่า ผลย่อมดีกว่า ทั้งยังสะดวกกับการพกติดตัวไปตามที่ต่างๆ แม้การรับประทานใบแห้ง จะทำให้ขาดไวตามินซีไปบ้างก็ตาม แต่ก็สามารถหาทดแทนได้จากพืชผักและผลไม้ต่าง ๆ การรับประทานใบแห้งอาจชง ดื่มเป็นน้ำชาซึ่งอาจให้ผลช้ากว่าในรูปของแคปซูล เมื่อผู้เขียนเริ่มรับประทานแคปซูลใหม่ ๆ จะสังเกตและรู้สึกได้ทันทีว่าอาการปวดศีรษะหายไปพร้อมๆ กับอาการปวดเมื่อยตามข้อกระดูกภายในระยะเวลาประมาณ 1 เดือน ในช่วง 2-3 อาทิตย์แรก ดูเหมือนว่าอาการปวดจะรุนแรงขึ้นจนนึกอยากจะหยุดเสีย แต่เมื่อย่างเข้าอาทิตย์ที่ 4 อาการปวดต่างๆตามกล้ามเนื้อเริ่มหายไป และอาการนิ้วติดก็หายไปโดยไม่รู้ตัว ผิวพรรณก็ดูเปล่งขึ้น สีหน้าเริ่มมีเลือดฝาด มะรุมจัดอยู่ในประเภทอาหารและเป็นยา ดังนั้นย่อมส่งผลช้ากว่ายาสมัยใหม่ ต้องมีความอดทน และรับประทานอย่างสม่ำเสมอ ผลที่ได้อาจจะช้าแต่ก็คุ้มค่าทีเดียว


จำหน่ายมะรุมแคปซูล   100 แคปซูล  150 บาท

ติดต่อ ปัทมพร  080-3432553
อีเมลล์  online_richteam@hotmail.com