วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

ว่านชักมดลูก

การสร้างเสริมสุขภาพ ซึ่งสนับสนุนการส่งเสริมสุขภาพมากกว่าการซ่อมสุขภาพ เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2544 สิ่งหนึ่งที่หมอเห็นความเปลี่ยนแปลงในไม่กี่ปีมานี้ คือแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน




แพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือกดังกล่าว เช่น การนวด การกดจุด การใช้สมุนไพร การฝังเข็ม ธรรมชาติบำบัด ชี่กง ธาราบำบัด การนวด โยคะ ฯลฯ แต่เดิมแพทย์แผนปัจจุบันไม่ค่อยให้ความสนใจนัก แต่เมื่อความนิยมในแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือกมากขึ้น แพทย์แผนปัจจุบันก็ต้องปรับตัว บางคนถึงกับทำการศึกษาค้นคว้าวิจัยด้วยตนเอง



ปีสองปีนี้ หมอพบคนไข้สตรีหลายคนมาหาด้วยเรื่องปัญหาในการใช้สมุนไพร ทำให้หมอต้องศึกษาค้นคว้าเรื่องสมุนไพรด้วยตนเองบ้าง และพบว่า…แม้ลึกๆ แล้ว หมอก็มีความศรัทธาต่อการใช้สมุนไพรบางอย่าง แต่สมุนไพรอีกหลายอย่าง หมอก็ไม่กล้าแนะนำให้คนไข้ใช้ เนื่องจากข้อจำกัดของสมุนไพรหลายชนิดคือ ขาดการวิจัยการใช้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ขาดความรู้เรื่องพิษของสมุนไพร คุณสมบัติของสมุนไพร ขนาดที่เหมาะสมของสมุนไพรต่อการรักษาโรค ตลอดจนความสะอาดในการเตรียมสมุนไพร ฯลฯ



ปัญหาที่หมอเจอบ่อยๆ ในช่วงนี้ ได้แก่ สมุนไพรไทยที่ชื่อ ว่านชักมดลูก

กรณีของคุณสม : คุณสม อายุ 30 ปี เพิ่งคลอดลูกคนแรกได้หนึ่งอาทิตย์ เธอเลี้ยงลูกด้วยนมตนเอง เธอมาหาหมอด้วยอาการปวดท้องน้อย เธอบอกทันทีที่เจอหน้าหมอว่า

" หมอฉันกินว่านชักมดลูกไป จะเป็นอะไรหรือเปล่า"

" ทำไมคุณสมถึงกินละคะ" หมอถาม

" อ้าว…ก็เห็นเขาโฆษณาในทีวีว่า ชักมดลูกให้เข้าอู่เร็ว ฉันก็เลยซื้อมากินนะสิ กินไปชุดหนึ่ง ตอนนี้ปวดท้องมาก ปวดเหมือนมีประจำเดือน และก็มีเลือดสดๆ ออกมามาก ฉันจะเป็นอะไรหรือเปล่า"

" งั้น ขอหมอตรวจภายในคุณสมหน่อยนะคะ" หมอขออนุญาต


ผลการตรวจภายในของคุณสมพบว่า น้ำคาวปลาที่ควรจะแห้งหรือลดน้อยลงยังมามาก มีสีแดงจัด และมดลูกนอกจากบวมโต ยังมีอาการเจ็บเวลากดถูก

" นอกจากยาชักมดลูก คุณสมกินยาอะไรอีกหรือเปล่า"

" ยาขับน้ำคาวปลา ใส่เหล้านิดหนึ่ง" คุณสมพูดอ้อมแอ้ม

" สรุปตอนนี้คุณสมเป็นมดลูกอักเสบค่ะ คงต้องงดทั้งว่านชักมดลูก และยาดองเหล้านะคะ อันที่จริงหมอก็ไม่รู้หรอกว่า ว่านชักมดลูก และยาดองเหล้านั้น ตัวไหนทำให้มดลูกของคุณสมอักเสบ หรืออาจจะไม่เกี่ยวกับยาทั้งสองอย่างที่คุณสมกินไปก็ได้ค่ะ แต่ตอนนี้หมอจะจัดยาแผนปัจจุบัน คือ ยาแก้อักเสบ ยารัดมดลูก ยาแก้ปวด ให้คุณสมไปรับประทาน คุณสมต้องพักผ่อนให้เต็มที่ งดงานหนัก และงดร่วมเพศ จนครบหนึ่งเดือนนะคะ กินยาและพักผ่อน อาการอักเสบ ปวดท้องที่เกิดขึ้น จะค่อยๆ ทุเลาลงค่ะ" หมอแนะนำ



" ถ้าหายปวดท้องแล้ว ฉันกินว่านชักมดลูกต่อได้ไหมหมอ" คุณสมยังสงสัย

" คุณสมคะ หมอเป็นหมอแผนปัจจุบัน คงตอบคำถามคุณสมไม่ได้ดีนัก แต่เท่าที่หมอทราบ ตามตำรายาแผนโบราณ ว่านชักมดลูกใช้ชักมดลูกให้เข้าอู่ แก้มดลูกพิการ แก้ปวดมดลูก แก้ประจำเดือนมาไม่ปกติ ขับน้ำคาวปลา แก้ธาตุพิการอาหารไม่ย่อย แก้ริดสีดวงทวาร แก้ไส้เลื่อน แก้โรคกระเพาะอาหาร ลำไส้ แก้โรคมะเร็ง แก้ฝีภายในต่างๆ โดยว่านนี้มีส่วนประกอบของฮอร์โมนเพศหญิง จึงไม่ควรใช้ว่านชักมดลูกติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือในขนาดสูง เพราะจะทำให้เกิดอาการปวดท้องตกเลือดได้นะคะ

" อย่างไรก็ตาม ในความเห็นของหมอ ว่านชักมดลูกนั้น มีมาตั้งแต่สมัยโบราณใช้ชักมดลูกเข้าอู่ ในการคลอดลูกที่ไม่ได้ให้น้ำเกลือ ไม่ได้ให้ยาแก้อักเสบ ไม่ได้ให้ยารัดมดลูก ไม่มีการเย็บแผลช่องคลอด ไม่มีการผ่าตัดคลอด แบบการคลอดลูกสมัยใหม่ ซึ่งมีการให้ยารัดมดลูก ยาแก้อักเสบ ทั้งทางเส้นเลือดและทางการกิน สารพัดชนิด… ดังนั้นการคลอดแบบสมัยใหม่ อาจไม่จำเป็นต้องใช้ว่านชักมดลูก ซึ่งมีปัญหาเรื่องขนาดของว่าน ว่าควรกินเท่าไร จึงจะเหมาะสม และยังไม่มีการศึกษาที่ชัดเจนว่า การกินว่านในขณะให้นมบุตร จะมีผลเสียต่อบุตรอย่างไรนะคะ" หมออธิบาย คุณสมซึ่งพยักหน้าอย่างรับรู้ และถามอะไรอีกเล็กน้อย ก่อนลากลับ


กรณีของคุณป้าวันดี : คุณป้าวันดี อายุ 78 ปี มาหาหมอด้วยอาการมีเลือดออกช่องคลอด หลังจากกินว่านชักมดลูก

" หมดเลือดไปเกือบสามสิบปี แล้วมีเลือดมานั้น จะเป็นอะไรหรือเปล่าหมอ" คุณป้าถาม

" ขอหมอตรวจภายในคุณป้าก่อนนะคะ" หมอขออนุญาต


ผลการตรวจภายในพบว่า ปากมดลูกและมดลูกของคุณป้าวันดีอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่มีเลือดสีคล้ำๆ ออกมาจากโพรงมดลูก

" คุณป้ากินว่านชักมดลูก เพราะอะไรคะ" หมอถามเหตุผลของคุณป้า

" เขาว่าว่านชักมดลูกเป็นประเภทเดียวกับขมิ้นชัน กินแล้วป้องกันมะเร็งได้ ฉันเลยซื้อมากินไปสองกล่อง" คุณป้าบอก

" แล้วเลือดที่ออกนี่มันเกี่ยวกับว่านชักมดลูกหรือเปล่าคะหมอ" ลูกสาวคุณป้าวันดีถาม

" หมอคงบอกไม่ได้ว่าเกี่ยวกับว่านชักมดลูกนี้หรือเปล่านะคะ แต่ว่านชักมดลูกก็อาจทำให้เกิดตกเลือดได้ เพราะมีส่วนประกอบของฮอร์โมนเพศหญิง อย่างไรคุณป้าวันดีควรต้องขูดมดลูก เพื่อตรวจหาความผิดปกติในโพรงมดลูก ที่ทำให้เกิดมีเลือดผิดปกติตกออกมานะคะ" หมอแนะนำ

" แค่นี้ต้องขูดมดลูกด้วยหรือ ฉันยังไม่อยากขูดมดลูกนะหมอ" คุณป้าวันดีท้วง ท่าทางไม่สบายใจ

" ถ้าคุณป้ายังไม่อยากขูดมดลูก ก็อาจลองหยุดกินว่านชักมดลูกแล้วดูอาการ ถ้าเลือดหยุดไป ไม่มาอีก ก็อาจจะยังไม่ต้องขูดมดลูกค่ะ แต่ถ้าหยุดกินว่านแล้ว ยังมีเลือดออกอีก คงต้องขูดมดลูก ซึ่งเป็นทั้งการรักษาให้เลือดหยุด และเป็นการตรวจเพิ่มเติม ว่ามีอะไรผิดปกติหรือเปล่านะคะ" หมอพูดซ้ำ

" งั้น ยังไม่ขูดนะลูก ลองหยุดกินว่านก่อน" คุณป้าหันไปบอกลูกสาว ก่อนทั้งสองคนจะลากลับ

หมอยังเจอคนไข้อีกหลายคนที่กินว่านชักมดลูก เพื่อกระชับช่องคลอด เพื่อให้สวย เพื่อให้หายตกขาว บางรายก็บอกว่าดี บางรายก็มาหาหมอ เพราะมีอาการเจ็บปวด และผิดปกติภายในร่างกาย



นอกจากว่านชักมดลูก หมอยังเจอปัญหาของคนไข้กับสมุนไพรอีกหลายอย่าง จึงขอแนะนำคุณๆ ในการเลือกใช้สมุนไพร ดังนี้ค่ะ

1. ต้องรู้สรรพคุณของสมุนไพร และถามตนเองว่ากินเพื่อรักษาโรคอะไร ซึ่งสมุนไพรส่วนใหญ่มักจะมีสรรพคุณครอบจักรวาล อย่างเช่น ว่านชักมดลูกคือมีผลตั้งแต่ ระบบอวัยวะภายในสตรี (มดลูก) ระบบย่อยอาหาร (กระเพาะอาหาร ลำไส้ ริดสีดวง) มะเร็ง การติดเชื้อ (ฝีภายใน) ทำให้คนบางคนเลือกใช้ เพราะกลัวโรค เพื่อป้องกันโรค ทั้งที่ไม่ได้มีโรคภัยไข้เจ็บอะไร ซึ่งอาจจะเกิดผลเสียมากกว่าผลดี



2. เลือกสมุนไพรที่มีการค้นคว้าวิจัยอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนแล้ว เช่น หญ้าหนวดแมว กระเจี๊ยบแดง สามารถขับปัสสาวะได้ เสลดพังพอน รักษาโรคเริม ฟ้าทะลายโจร แก้ไข้ เจ็บคอ ขิง ขับลม มะระขี้นก แก้เบาหวาน ลดไขมัน ฯลฯ ปัจจุบันหมอมักจะแนะนำให้ใช้สมุนไพรร่วมกับการรักษาแผนปัจจุบัน เช่น แนะนำดื่มน้ำขิง ในคนไข้มีลมในกระเพาะ ให้เอากระเจี๊ยบแดงหรือหญ้าหนวดแมวต้มทำเป็นน้ำชาดื่ม ในกรณีมีทางเดินปัสสาวะอักเสบ เป็นต้น



3. ต้องระวังเรื่องความสะอาด ควรต้องระมัดระวังสมุนไพรที่อยู่ในรูปแคบซูล เพราะถ้าเตรียมสมุนไพรไม่ดี การผลิตไม่ได้มาตรฐาน แทนที่จะได้ยารักษาโรค อาจจะได้เชื้อราก่อมะเร็งเพิ่มเข้ามาค่ะ



4. อย่าเชื่อตามคำโฆษณา สมัยก่อนสมุนไพรนั้นไม่ต้องซื้อต้องหา มีการเข้าป่าไปหามาแบ่งปันกัน หรือคิดเป็นค่าไหว้ครู แต่ปัจจุบันสมุนไพรได้เข้าไปอยู่ในภาคธุรกิจ มีการโหมโฆษณาชวนเชื่อเกินจริง เช่น ว่านชักมดลูก กินแล้วสวย เป็นต้น จึงควรเลือกใช้สมุนไพร เพื่อรักษาโรคและควรได้รับการแนะนำจากแพทย์ผู้รู้จริง จึงจะปลอดภัยค่ะ





(update 31 ตุลาคม 2003)

[ ที่มา..หนังสือ นิตยสารใกล้หมอ ปีที่ 27 ฉบับที่ 9 ตุลาคม 2546 ]

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น