วันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2553

แชมพูปิดผมขาว บีสวอน BSY noni black hair magic

ความรู้เกี่ยวกับเส้นผม

จากหนังสือ
 เรียบเรียงจากการบรรยายของ อ.สุทธิวัส คำภา นักธรรมชาติบำบัดผู้มีชื่อเสียงรัดับประเทศ
หาซื้อมาอ่านเป็นประโยชน์มาก ท่านจะท่านจะทราบถึงแนวทางป้องกันและรักษาด้วยแนวทางธรรมชาติบำบัดอย่างง่ายๆ(ไฟฟ้า) ที่ทำร้ายหัวใจ และถ้าใช้ยาสระผม ยาย้อมผม รวมถึงการทาปาก การเขียนคิ้ว การทาเล็บ ที่มีสารเคมีเจือปนอยู่ สารเคมีเหล่านี้จะซึมผ่าน เข้าชั้นผิวหนังไปถึง เส้นเลือดฝอย แล้วส่งไปสะสมอยู่ที่ตับ ไต โดยตรง

       ถ้าเคมีตกค้าง จะส่งผลโดยตรงกับสมองส่วนหลัง ซึ่งมีหน้าที่คุม แขน ขา ทำให้แขนขาไม่มีแรง  
เมื่อเคมีตกค้างที่สมองส่วนกลาง แถวๆกระหม่อม จะมีผลต่อ สมองส่วนที่เก็บความจำ มีผลต่อการย่อยอาหาร ท้องจะอืด ท้องเฟ้อ ง่วงนอนบ่อย หาวนอน นั่งรถก็หลับ ป่วยเรื้อรัง
(
ใช้ยาสระผม ยาย้อมผมที่มีสารเคมีกับหนังศรีษะ ก็เท่ากับทำร้ายตับโดยตรง)

         การย้อมสีผมด้วยสารเคมี สารเคมีจะซึมเข้าสู่รูขุมขนในหนังศีรษะเนื่องจากย้อมตั้งแต่โคนผม ซึ่งหนังศีรษะมีรูขุมขนที่เปิดอยู่มากมายอย่างน้อยๆมีรูเส้นผม หนึ่งแสนรูขุมขน และมีต่อมเหงื่อ และต่อมไขมันมากมาย ถ้าใส่ยาย้อมผมที่มีสารเคมี หนังศีรษะจะรับสารเคมีตรงๆ ซึ่งสารเคมีจะซึมเข้าสู่ผิวหนังและเข้าสู่เส้นเลือดฝอย เข้าไปสู่เซลล์ต่างๆของร่างกาย ทำให้เซลล์ร่างกายกลายพันธุ์ และกลายเป็นมะเร็งได้มีการศึกษาย้อนหลังจากผู้ป่วยมะเร็งเต้านมและมะเร็งต่อมน้ำเหลืองพบว่ามีความสัมพันธ์กับการย้อมผมด้วยเคมี และพบว่าใครก็ตามที่ย้อมผมนานกว่า ย้อมผมบ่อยกว่ามีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งมากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่มีอายุเกิน

ถ้าวันนี้คุณมีทางเลือก

พบกับนวัตกรรมใหม่ล่าสุด จาก
 
แชมพู
 
ใช้แชมพู
B- Swan สระผม ทำให้ผมดำ ภายใน 10 นาที
ปราศจากสารเคมี และไฮโดรเยนเปอร์ออกไซด์ มีส่วนประกอบสมุนไพรธรรมชาติ 100 %
ลดการหลุดร่วงของเส้นผม และกระตุ้นการงอกใหม่ของเส้นผม ละลายไขมันที่อุดตันบนหนังศีรษะ
ปลอดภัย 100 %
 
แชมพู
NONI Black Hair Magic
เป็นแชมพูสมุนไพรธรรมชาติ ใช้แทนการย้อมผม โกรกสีผม โดยปราศจากสารเคมี
ส่วนประกอบจากธรรมชาติที่บริสุทธิ์ มีสมุนไพรสำหรับการบำรุงผมจำนวนมากกว่า
หลักที่สำคัญได้แก่

10 ชนิด สมุนไพร
โสม
(Gingseng)
มีหน้าที่ขจัดไขมันส่วนเกินที่อุดตันในรากผม จึงทำให้ลดการหลุดร่วงของเส้นผม ทำให้รากผมแข็งแรง
กระตุ้นการงอกใหม่ของเส้นผม

สมุนไพรจากลูกยอ
NONI
ช่วยทำให้สารอาหารไปเคลือบเส้นผมให้แข็งแรง และเงางาม เพราะสารอาหารในลูกยอ มีมากเกิน
140
ชนิด ที่สามารถเป็นสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อรากผม

สมุนไพรจีน
ห่อสิ่วโอ้ว” (Polygonum Multifunction Thunb)
ซึ่งมีหน้าที่ทำให้ผมเป็นสีดำธรรมชาติ ซึ่งเป็นสมุนไพรที่ใช้มาตั้งแต่ราชวงศ์ถัง ซึ่งสามารถบำรุงเส้นผม
รักษาอาการผมหงอกก่อนวัย มีประโยชน์ต่อสุขภาพผม และสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียบนหนังศีรษะได้เป็นอย่างดี


วิธีการใช้
1.
2
สวมใส่ถุงมือที่ให้มาในกล่อง (นิ้วของคุณอาจจะกลายเป็นสีเทา แต่ไม่มีผลข้างเคียงต่อสุขภาพ)สระผมด้วยแชมพูสมุนไพรทั่วไป 1 รอบ และเช็ดผมให้หมาดๆกับผ้าขนหนู
3.
ฉีกซองแชมพูเฉียงมุมใดมุมหนึ่ง
4.
ชโลมแชมพูลงบนเส้นผมอย่างรวดเร็ว (สามารถชโลมแชมพูจนถึงโคนผมได้) และนวดเบาๆให้ทั่ว ทิ้งไว้ประมาณ 7-10นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำให้สะอาด
แล้วคุณจะพบกับมหัศจรรย์ดกับเส้นผมของคุณ
อย่างคาดไม่ถึง


แชมพู NONI Black Hair Magic Testimony
สร้างความประทับใจให้กับหลายท่านที่ได้สัมผัสแล้ว
B-Swan Black Hair Magic
USA

50 ปี หรือคนที่ย้อมผมมากกว่า 10 ปี จะมีโอกาสเสี่ยงสูงมาก ดังนั้นถ้าไม่ต้องการมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง ให้หันมาใช้วิธีย้อมผมแบบธรรมชาติที่มีส่วนประกอบของสมุนไพร และปราศจากสารเคมีจะดีที่สุด

         เส้นผมบนศีรษะควรเป็นสีดำ ตามเผ่าพันธุ์ของคนไทย ถ้าโกรกผม ย้อมผมเปลี่ยนสีเป็นสีอื่น จะมีผลต่อหัวใจ ทำให้หัวใจไม่แข็งแรง เพราะสีดำจะช่วยกรองคลื่น ความถี่
         ควรหาน้ำยาที่เป็นสมุนไพรที่ไรสารเคมี มาใช้กับผิวหนังจะดีที่สุด ถ้าใช้สารเคมีบ่อย ตับจะสะสมสารเคมีไปตลอดชีวิต เป็นเหตุให้เจ็บป่วยได้หลายประการ เช่น ปวดใต้เข่า ร้าวไปถึงส้นเท้า ขาไม่มีแรง ปวดที่น่องร้าวไปถึงผ่าเท้า ผมร่วง
กินเป็นลืมป่วยหนังสือขาย ดีปี 50

วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

ขาย มะรุม แคปซูลมะรุม มะรุมแคปซูล พืชมหัศจรรย์ รักษาสารพัดโรค

จำหน่าย 
 
มะรุมแคปซูล
 
 
ราคา 1 กระปุก   100 แคปซูล   =  150 บาท  + ค่าส่ง 20 บาท

บรรจุ แคปซูลละ 500 มก. (ใบมะรุม 100%)

ซื้อ  5 กระปุก ขึ้นไป ส่งฟรี

สนใจติด  คุณปัทมพร  080-3432553

จ.เพชรบรณ์  ปลูกเอง ขายเองค่ะ ผลิตภัณฑ์โฮมเมด
รับรองความสะอาด ใบมะรุมต้นขนาด 5 ปีขึ้นไป  

อีเมลล์  online_richteam@hotmail.com 


ข้อควรระวัง
ห้าม..ผู้ที่เป็นโรคเลือดG6PD (โรคเม็ดโลหิตแดงแตกกระจาย) และ สตรีมีครรภ็..
ไม่ควรรับประทานหรือก่อนรับประทานควรปรึกษาแพทย์ ..
ผู้ที่แพ้สมุนไพรทุกชนิด หรือเป็นภูมิแพ้อย่างรุนแรง



อ้างอิงจาก : หนังสือนาฬิกาชีวิต ตอน 2 "มะรุม พืชสมุนไพรหลากประโยชน์ " โดย รศ.ดร วิมล ศรีสุข ซึ่งอยู่ในจลสารข้อมูลสมุนไพรฉบับ 26 (4)


วิธีรับประทาน : ทานครั้งล่ะ 1-2 แคปซูล วันละ 1-2 ครั้งก่อนอาหาร


ส่วนประกอบสำคัญ : ใบมะรุม 100 %

มะรุม ต้นไม้เพื่อชีวิต

มะรุม ต้นไม้เพื่อชีวิต
 
 

คำนำ / บทสำนึกคุณ จากผู้เขียนหนังสือ

ข้อมูลคร่าวๆ จากแหล่งอ้างอิง

ประสบการณ์ตรงจากชีวิตจริง

มะรุมรักษาโรคเอดส์ (AIDS)

ตำราอาหารเกี่ยวกับมะรุมและธรรมชาติบำบัด



              ทุกท่านที่อ้างอิงถึงต่อไปนี้ มีตัวตนจริงและยังมีชีวิตอยู่ บางท่านอนุญาตให้ลงนามจริงได้ บางท่านได้ขอร้องไม่ให้ระบุชื่อ ผลที่เกิดกับแต่ละท่านแตกต่างกันไปตามสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล ก่อนจะนำไปใช้กับตนเอง ขอให้ใช้วิจารณญาณของท่านเอง และถ้าเป็นไปได้ก็ขอให้ปรึกษาแพทย์อย่างใกล้ชิด และห้ามหยุดยารักษาโรคทุกชนิดที่รับประทานอยู่ จนกว่าจะได้รับคำสั่งจากแพทย์ผู้ทำการรักษาให้ลดขนาดหรือหยุดการใช้ยา อย่าเสี่ยงกับสุขภาพของท่านเพียงเพราะอ่านจากหนังสือเท่านั้น ผู้เขียนเองในขณะที่รับประทานมะรุมในเบื้องต้น ก็ได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิดเช่นกัน หลังจากการรับประทานติดต่อกันมาเป็นเวลา 3 ปีครึ่ง จึงเห็นผลที่คุ้มค่า

               คุณกรองทอง ชุติมา เป็นผู้หนึ่งที่มีส่วนร่วมในการเลี้ยงดูผู้เขียนมาตั้งแต่เกิด ท่านเป็นน้องสาวคนเดียวของคุณสุรพล อนุสารสุนทร บิดาของผู้เขียน เมื่อท่านทราบว่าผู้เขียนหายขาดจากโรคหลายชนิดเพราะผงใบมะรุม ท่านก็ให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่ง คุณปู่ของผู้เขียน คุณหลวงอนุสารสุนทร เป็นนักค้นคว้าและวิจัยสมุนไพรสมัครเล่น คุณอาจึงเติบโตมากับสมุนไพร เมื่อได้ทราบประโยชน์ของมะรุม คุณอาจึงเริ่มรับประทานมะรุมผงตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา นับเป็นเวลาประมาณ 4 ปีแล้ว

ขณะนี้ท่านมีอายุ 90 ปีเต็ม ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา ท่านไม่เคยเจ็บป่วยเลย กลับมีสุขภาพแข็งแรงจนเป็นที่กล่าวขวัญถึงของคนทั่วไปที่รู้จักท่าน อีกทั้งผิวพรรณของท่านก็ดูสดใส นอกจากนั้นท่านยังได้ให้ความสำคัญและพยายามเผยแพร่เรื่องมะรุมไปยังบุคคลหลายระดับ แม้แต่การจัดหาพันธุ์มะรุมแจกจ่ายไปตามหน่วยงานการกุศล และชาวบ้านทั่วไป รวมทั้งพยายามให้สถาบันราชภัฎเชียงใหม่ทดลองปลูกด้วย

             ในจำนวนคนที่ได้รับผลดีเป็นอย่างมากจากการใช้ใบมะรุมผง ได้แก่บุคคลในครอบครัว คือน้องสาวคนเล็กและพี่สาวคนรอง ก้อนเนื้อที่เต้านมของน้องสาว เริ่มทำท่าจะโตขึ้น แพทย์จึงนัดทำการตัดชิ้นเนื้อไปพิสูจน์ให้แน่ใจว่าไม่ได้เป็นมะเร็ง เผอิญเป็นเวลาที่น้องสาวเริ่มรับประทานผงมะรุม เมื่อถึงเวลาที่แพทย์ตรวจ ปรากฎว่าก้อนเนื้อที่มีมานานได้หายไปอย่างน่าประหลาดใจ และไม่กลับมาอีกเลยจนทุกวันนี้ ส่วนพี่สาวคนรองมีอาการมากว่าคือเจ็บมาก แพทย์ที่สหรัฐอเมริกาตรวจแล้วลงความเห็นว่า อาจจะเป็นมะเร็งทรวงอก จึงขอตัดชิ้นเนื้อไปพิสูจน์ ผู้เขียนจึงได้ขอร้องให้พี่สาวลองรับประทานผงมะรุมดู 4 เดือน หลังจากนั้นผลการตรวจครั้งที่ 3 ที่ประเทศฮอลแลนด์พบว่า ก้อนเนื้อนั้นได้หายไปแล้ว ข้อเขียนนี้ไม่ได้ยืนยันว่า ใบมะรุมช่วยรักษาโรคมะเร็งได้ เพราะหลักฐานในการพิสูจน์ยังมีไม่มากพอ เพียงแต่เป็นประสบการณ์เฉพาะบุคคลเท่านั้น

เพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งที่วัดป่าธรรมชาติ ก็มีลักษณะเช่นเดียวกัน คือ หมอตรวจเจอก้อนเนื้อที่ทรวงอก แต่หลังจากรับประทานผงมะรุมแล้ว ก้อนเนื้อนั้นก็หายไป นี่เป็นสัญญาณที่ดีและพอจะมีความหวังได้ว่า ผงมะรุมอาจช่วยคลี่คลายปัญหาได้ หากท่านรู้จักผู้ที่ประสบปัญหาเช่นเดียวกันนี้ ช่วยบอกต่อๆ กันไปจะเป็นพระคุณยิ่ง

ในการรักษาโรคคอหอยพอกชนิดมีพิษนั้น ตัวผู้เขียนได้รับความสำเร็จ 100% โดยใช้เวลาจริงๆ เพียงแค่ 3 เดือนภายใต้การควบคุมอย่างใกล้ชิดของแพทย์ผู้รักษา หากท่านอยากจะนำไปรักษา ควรปรึกษาแพทย์ขอความช่วยเหลือ เพราะร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะผู้ชายจากากรสำรวจทดลองของผู้เชี่ยวชาญพบว่า ได้ผลเพียง 75% สำหรับการควบคุมนั้นต้องใช้ระยะยาว ผู้เขียนยังไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับโรคคอหอยพอกชนิดไม่มีพิษท่ านที่ประสบผลสำเร็จกรุณาแจ้งให้ทราบจะเป็นพระคุณยิ่ง

ปัญหาส่วนใหญ่ของผู้สูงอายุคือการหกล้ม ส่วนใหญ่มักจะกลายเป็นเรื่องร้ายแรงจนถึงแก่ชีวิตได้ ดังนั้น ถ้าเราสามารถเสริมสร้างให้กระดูกแข็งแรงแล้วผลร้ายของการหกล้มก็จะลดน้อยลง ประสบการณ์เรื่องกระดูกนี้มีผู้ได้รับผลประโยชน์มากมาย ผู้เขียนเองเห็นผลเป็นคนแรก หลัง่จากนั้นเพื่อนของพี่สาวคนโตที่เมืองโอคาล่าประสบอุบัติเหตุตกจักรยาน ไหปลาร้าหัก แขนหัก 2 ท่อน เนื่องจาก JANE (นามสมมุติ) มีอายุ 60 ปี และยังมีอาการเบาหวานแทรกซ้อนจึงเป็นการยากลำบากอย่างยิ่งในการรักษา แพทย์ประเมินผลว่าการรักษาจะต้องใช้เวลาเป็นแรมปี เมื่อผู้เขียนทราบข่าวจึงได้เล่าประสบการณ์ส่วนตัวให้ฟัง เนื่องจาก JANE เป็นเพื่อนรักของพี่สาวจึงบังคับให้เธอรับประทานใบมะรุมสดทุกวันและทุกมื้อ ขนาดลงทุนปลูกต้นมะรุมไว้ถึง 2 ต้น ผลการรักษาเป็นที่น่าพอใจจนแพทย์แปลกใจ ในระยะเวลา 8 เดือน JANE ก็หายสนิท และในช่วงนั้นอาการเบาหวานก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจ

PHYLLIS สุภาพสตรีอายุ 80 กว่า หกล้มขาหัก เนื่องจากอยู่ในวัยชรา แพทย์ผู้รักษาจึงไม่ให้ความหวังแต่อย่างใด พี่สาวไปพบเข้าก็เกิดความสงสาร จึงถามว่าจะลองดูไหม แต่จะมาฟ้องร้องกันทีหลังไม่ได้ ข่าวที่ JANE หายอย่างรวดเร็วแพร่ไปทั่วหมู่บ้าน PHYLLIS จึงตกลงที่จะลอง ครั้งนี้พี่สาวให้รับประทานแบบแคปซูลวันละ 8 เม็ด อาการหายเป็นปกติภายในเวลา 6 เดือน เดือนมิถุนายน 2006 ผู้เขียนไปเยี่ยมพี่สาวที่ฟลอริด้า เธอได้เดินทางมาขอบคุณผู้เขียนด้วยตัวเอง และคุยอวดว่าขณะนี้เธอสามารถไปเล่นโบว์ลิ่งได้ทุกอาทิตย์อีกด้วย ปัจจุบันในหมู่บ้านแห่งนี้มีผู้ป่วยกระดูกหัก และหายเพิ่มขึ้นอีกหลายคน ถ้าท่านมาเที่ยวจะรู้สึกประหลาดใจที่เห็นต้นมะรุมปลูกอยู่หลายครัวเรือน

เดือนพฤศจิกายน 2549 คณลออวรรณ ศรีกรานนท์ แจ้งมาว่า ท่านศาสตราจารย์ ดร.แมนรัตน์ ศรีกรานนท์ ประสบอุบัติเหตุล้มฟาดบนพื้นซีเมนต์ลานจอดรถของศูนย์การค้าแห่งหนึ่ง ท่านได้รับบาดเจ็บใบหน้าซีกหนึ่งบวมและแตก แขนและเข่าแตกเป็นแผลลึก เนื่องจากท่านมีโรคเรื้อรังประจำตัวคือเบาหวาน จึงเป็นที่หวั่นวิตกของทุกคนในครอบครัวว่า บาดแผลอาจจะลุกลามแต่เนื่องจากมีน้ำมันมะรุมเป็นยาสามัญประจำบ้าน จึงได้รีบนำมาทาแผล ผลปรากฎว่าแผลที่ใบหน้าหายภายใน 3 วัน ส่วนแผลที่แขนและหัวเข่าหายภายใน 10 วัน

มีผู้ป่วยโรคความดันโลหิตเป็นจำนวนมากเช่นเดียวกับโรคเบาหวาน และมีผู้รับประทานเป็นจำนวนมากให้การยืนยันว่า ความดันโลหิตอยู่ในภาวะที่ควบคุมได้

ผู้เขียนมีเพื่อน 3 คน เป็นมะเร็งต่างชนิดกัน และผ่านการรักษามาแล้ว เมื่อหันมารับประทานมะรุมก็สามารถช่วยให้มีสุขภาพที่สมบูรณ์และแข็งแรง คนแรกเป็นมะเร็งลำไส้ ผ่านการรักษาด้วยกัมมันตภาพรังสีมาครบ 3 ครั้ง ภูมิต้านทานตกต่ำถึงที่สุด ผู้เขียนได้ส่งผงมะรุมจากอเมริกาไปให้รับประทานทุกเดือน ขณะนี้ผลเป็นที่น่าพอใจ ร่างกายแข็งแรงขึ้นมาก เมื่อถึงเวลาพบแพทย์ตามนัด ผลตรวจเป็นที่น่าพอใจ ทุกท่านยืนยันว่าภูมิต้านทานดีมาก และไม่มีอาการอ่อนเพลีย

คนที่สองเป็นลูกสาวเพื่อน เธอเป็นมะเร็งเต้านม ผ่านการผ่าตัดมาแล้ว 2 ครั้ง ขณะนี้ได้ลุกลามไปถึงบริเวณกระดูกแล้ว เธอมีกำลังใจดี ร่างกายแข็งแรง ไม่เคยมีอาการแพ้ยาแต่อย่างใด หลังการผ่าตัดเธอก็สามารถฟื้นขี้นมาได้อย่างรวดเร็ว และสามารถขับรถได้ด้วย เธอรับประทานทั้งใบแห้งและเมล็ดมะรุมเป็นประจำ ขณะดียวกันก็รับประทานเห็ด 3 อย่างตามคำแนะนำของท่านอาจารย์สุทธิวัสส์อย่างสม่ำเสมอ ถึงแม้ว่าอาการมะเร็งยังไม่หายไป แต่เธอก็เชื่อว่าทั้งมะรุมและเห็ดมีส่วนทำให้ร่างกายของเธอแข็งแรง และพร้อมที่จะต่อสู้โรคร้ายต่อไป ขณะนี้เธอกำลังรอการตัดสินจากแพทย์ว่าจะต้องรักษาด้วยกัมมันตภาพรังสีหรือไม่

คนสุดท้ายเป็นเพื่อนสนิท เป็นมะเร็งที่ปีกมดลูก ผ่าตัดมาเรียบร้อยแล้ว หลังการผ่าตัดเธอรับประทานทั้งมะรุมผงและมะรุมเม็ด รวมทั้งเห็ด 3 อย่าง ขณะนี้แพทย์ให้ความเห็นว่า มะเร็งหายสนิทแล้ว แต่เพื่อความไม่ประมาทเธอก็ยังไปรับการตรวจจากแพทย์อย่างสม่ำเสมอ

โรคเก๊าท์เป็นโรคที่ทรมาน ผู้ติดตามคุณย่าของผู้เขียน เสียชีวิตด้วยโรคเก๊าท์ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่หลายคนวิตก โดยเฉพาะในอเมริกามีคนเป็นโรคนี้กันมาก วันหนึ่งคนเช่าบ้านของผู้เขียนเป็นชาว TRINIDAD ชื่อ CLEO LEWIS เกิดมีอาการปวดบวมด้วยโรคเก๊าท์จนเดินไม่ได้ และทรมานมากจนแทบทนไม่ไหว ขณะนั้นเป็นเวลาดึกมากแล้ว ประกอบกับเธอไม่มีประกันสุขภาพ ผู้เขียนจึงตัดสินใจใช้น้ำมันมะรุมทาให้ในคืนนั้น และให้รับประทานเมล็ดมะรุม 4 เม็ด 3 เวลาและก่อนนอน ปรากฎว่าโรคเก๊าท์หายไปภายใน 3 วัน

เพื่อนที่ทำงานมีอาการปวดขาเนื่องจากวัยชรา เมื่อลองใช้น้ำมันมะรุมทาอาการปวดก็ทุเลาลง

TAMMY บุตรสาวคุณรัตตินันท์ แจ้งมาว่า น้ำมันมะรุมใช้ได้ผลดีสำหรับเด็กเล็กทีแพ้ผ้าอ้อม เธอใช้กับบุตรสาววัย 6 เดือนเสมอๆ คุณรัตตินันท์เองก็ชื่นชอบน้ำมันมะรุมเป็นอย่างมาก ที่ช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยบั้นเอว เพราะต้องอุ้มและวิ่งตามหลานชายอายุ 1 ขวบ วันหนึ่งเกิดมีอาการปวดหลัง่บริเวณบั้นเอวเป็นอย่างมากจนก้มตัวลงไม่ถนัด นอนตะแคงก็ไม่ได้ เธอมีน้ำมันมะรุมไว้ใช้ประจำบ้าน จึงรีบใช้น้ำมันทาก่อนนอน และลุกขึ้นมาทาซ้ำอีกกลางดึก ปรากฎว่าวันรุ่งขึ้นอาการปวดทุเลาลงจนเกือบหาย จากนั้นเธอไม่ลืมทาน้ำมันมะรุมทุกเช้าและก่อนนอนเป็นประจำ เพื่อป้องกันอาการปวดหลัง และช่วยบำรุงกล้ามเนื้อและกระดูก

น้ำมันมะรุมยังมีคุณสมบัติชะลอความชราได้ด้วย จะใช้ทานโดยตรงหรือผสมโลชั้นหรือน้ำมันอื่นที่ท่านชอบ เมื่อทาแล้วผิวหน้าจะเนียน นุ่มนวลและง่ายต่อการแต่งหน้า ทั้งยังทำให้เครื่องสำอางติดทน ข้อดีอีกอย่างของน้ำมันมะรุมคือดูดซึมง่าย และไม่เหนียวเหนอะหนะเช่นน้ำมันชนิดอื่นๆ

โรคฉี่หนูกำลังเป็นโรคที่น่ากลัวและยังไม่มียารักษา แต่จากการใช้ลูกดิ่งประเมินผล อาจารย์สุทธิวัสส์พบว่า ถ้ารับประทานเมล็ดมะรุมวันละ 12 เม็ดติดต่อกันเป็นเวลา 20 วัน และทุกครั้งที่ต้องย่ำน้ำให้ทาน้ำมันมะรุมที่เท้าและง่ามเท้า จะช่วยให้พ้นอันตรายจากโรคฉี่หนูได้

เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2550 อาจารย์นวลฉวีได้รับข่าวเป็นที่น่ายินดีจากนายแพทย์เปี่ยมโชค ชลิดาพงศ์ ว่าท่านมีคนไข้ผู้ไม่ประสงค์จะออกนาม แต่มีความยินดีที่จะนำอาการป่วยมาเผยแพร่เป็นวิทยาทานแก่คนทั่วไป คู่ครองได้เสียชีวิตด้วยโรคเอดส์ และผู้ป่วยได้รับเชื้อโรคร้ายนี้มาจากคู่ครอง เมื่อตอนมาพบคุณหมอนั้น อาการทรุดมากแล้ว สุดวิสัยที่จะเยียวยา แต่เนื่องจากศรัทธาที่มีต่อคุณหมอในเกียรติคุณด้านโภชนบำบัด ผู้ป่วยได้วิงวอนให้คุณหมอหาทางช่วยชีวิต ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม

คุณหมอเปี่ยมโชคเล่าว่า เมื่อพบครั้งแรกนั้นผลของ Viral สูงมาก และผลของ CD4 มีปริมาณที่ต่ำจนถึงจุดอันตราย ในวาระนั้นเองท่านผู้นี้ได้รับการแนะนำจากเพื่อนให้รับประทานมะรุมเมล็ดที่แก่จัดวันละ 12 เม็ด ขณะนี้ได้รับประทานมาเป็นเวลา 3 เดือนแล้ว ในระหว่างนี้ก็ยังรับการดูแลจากคุณหมออย่างสม่ำเสมอ จึงทำให้ท่านได้เห็นผลก้าวหน้าอย่างใกล้ชิด จากการตรวจครั้งสุดท้ายผลปรากฎว่า ปริมาณของเชื้อ Viral ลดลงต่ำกว่า 50 หน่วย ซึ่งถือได้ว่าต่ำมาก และผลของ CD4 มีปริมาณสูงถึง 500 หน่วย ในคนปรกติโดยทั่วไปจะมีราวๆ 700-800 สภาพร่างกายโดยทั่วๆ ไป ของผู้ป่วยดูสมบูรณ์แข็งแรงเหมือนคนปรกติ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง

แต่เนื่องจากคุณหมอเปี่ยมโชคเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านโภชนบำบัดโดยเฉพาะ ท่านจึงกรุณาให้ข้อสังเกตและแนะนำว่า เม็ดมะรุมมีตัวยาประกอบที่สำคัญตัวหนึ่ง ซึ่งหากรับประทานติดต่อเป็นระยะเวลานาน จะเกิดผลเสียต่อร่างกายมากกว่าผลดี ท่านจึงเป็นสมควรว่า เมื่อร่างกายกลับเข้าสู่สภาวะปรกติแล้ว ควรจะหยุดการใช้เสีย ส่วนการที่จะเสริมสร้างภูมิต้านทานให้อยู่ในระดับปรกตินั้น สมควรหาอาหารที่เป็นยาชนิดอื่นมาทดแทน ในกรณีนี้จากการสำรวจงานวิจัยของแพทย์หลายๆ ท่าน ในต่างประเทศซึ่งจะหาดูได้จากเว็บไซต์อเมริกัน http://www.PUBMED.GOV จะเห็นว่ามะรุมผงสามารถเสริมสร้างภูมิ-ต้านทานให้แก่ร่างกายได้เป็นอย่างดี แต่ถึงอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและความพร้อมของแต่ละบุคคลเป็นสำคัญ และเพื่อความไม่ประมาทควรหมั่นให้แพทย์แผนปัจจุบันตรวจดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ

ขอกราบขอบพระคุณในเมตตาจิตของคุณหมอเปี่ยมโชค ชลิดาพงศ์ ที่กรุณาอนุญาตให้นำข้อมูลมาเผยแพร่เป็นวิทยาทานแก่เพื่อนร่วมชาติ

ในขณะเดียวกันได้มีโอกาสพบท่านนายแพทย์วิฑูร จารุประกร ท่านได้ให้ความสนใจมะรุมเป็นอย่างมาก และได้ติดตามวิจัย ศึกษาพอสมควร ท่านได้ส่งเสริมให้มีการรับประทานพืชผักผลไม้เป็นประจำ มะรุมเป็นพืชชนิดหนึ่งที่ท่านสนับสนุนให้รับประทานอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งชักจูงให้ปลูกไว้ในครัวเรือนด้วย โดยใหคำอธิบายว่า ใบมะรุมมีสรรพคุณเป็นยาที่ออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ เพราะมีคาโรตินอยด์ในปริมาณสูง


มะรุม ต้นไม้มหัศจรรย์
จากหนังสือ นาฬิกาชีวิต ตอน ๒
เขียนโดย ดร.วิไลวรรณ อนุสารสุนทร

คนเป็นโรค G6PD หรือ ทาลัสซีเมีย ห้ามทานมะรุม

คนเป็น โรค G6Pd หรือทาลัสซีเมีย 
 ห้ามทาน  มะรุม เด็ดขาด

G6PD หรือ Glucose-6-Phosphate
Dehydrogenase
เป็นเอ็นไซม์ชนิดหนึ่งที่อยู่ในเซลล์
ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในขบวนการการใช้พลังงาน และสร้างสารต่าง ๆ ในเซลล์ เช่น ขบวนการ
Hexose monophosphate shunt สารสำคัญที่ได้จากขบวนการนี้คือ NADPH (Nicotinamide
Dinucleotide Phosphate) ซึ่งใช้ในขบวนการกำจัดสารที่เป็นพิษต่อเซลล์
หรือสิ่งแปลกปลอมออกไป เซลล์ที่มีความจำเป็นต้องพึ่งขบวนการนี้มาก ได้แก่
เม็ดเลือดแดงเนื่องจากไม่มีนิวเคลียสและ organelles อื่นๆ
ที่ทำหน้าที่ทำลายสารพิษได้



โรคขาดเอ็นไซม์ G-6-PD หรือภาวะพร่องเอนไซม์ จีซิกพีดี
( G6PD Deficiency : Glucose-6-Phosphate Dehydrogenase deficiency)


หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อ โรคแพ้ถั่วปากอ้า(Favism) เป็นโรคทางพันธุกรรม
มีการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ผ่านทางโครโมโซมเอกซ์ (X-linked recessive fashion)
ทำให้มีผลกระทบต่อเพศชายมากกว่าเพศหญิง
ผู้ชายจะเป็นโรคโดยได้รับยีนมาจากมารดาที่เป็นพาหะ พ่อที่เป็นโรค
จะถ่ายทอดพาหะให้ลูกสาวทุกคน
เด็กที่ป่วยเป็นโรคนี้จะไม่แสดงอาการอะไรนอกจากตัวเหลืองตอนแรกเกิด



การวินิจฉัยโรค ใช้การตรวจสอบทางพันธุกรรม
ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของยีนที่สร้างเอ็นไซม์ดังกล่าว ทำให้สร้างเอ็นไซม์นี้ไม่ได้

สิ่งสำคัญ คือ เอ็นไซม์นี้มีความสำคัญในการสร้างสาร Glutathione ซึ่งมีหน้าที่ทำลาย
oxidizing agents ต่าง ๆที่เกิดขึ้นจากยา หรือภาวะการติดเชื้อต่าง ๆ ให้หมดฤทธิ์ไป
ความสำคัญของเอ็นไซม์นี้อยู่ที่เม็ดเลือดแดง ถ้าผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ ได้รับ
oxidizing agents เช่นยาบางชนิดหรือ การติดเชื้อในร่างกาย
จะทำให้เม็ดเลือดแดงไม่สามารถทนทานได้ และเกิดเม็ดเลือดแดงแตกเฉียบพลัน
เกิดซีดเฉียบพลัน ปัสสาวะดำหรือสีเข้มจากสีของฮีโมโกลบิน และอาจเกิดไตวายได้



สารหรือยาที่ทำให้เกิดเม็ดเลือดแดงแตกได้บ่อยได้แก่ ยารักษามาเลเรียบางชนิด,
ยาซัลฟา,ยาปฏิชีวนะบางชนิดและถั่วปากอ้า เป็นต้น

นอกจากนี้การติดเชื้อต่าง ๆ เช่นเป็นไข้หวัด หลอดลมอักเสบ
ก็ทำให้เกิดเม็ดเลือดแดงแตกได้ จึงจำเป็นต้องแจ้งให้แพทย์ พยาบาลทราบ และรักษา
รวมทั้งเลี่ยงยาที่อาจทำให้เกิดอาการได้



อาการที่เกิดขึ้นเมื่อได้รับยาเหล่านี้

ผู้ป่วยจะซีดลงทันทีเนื่องจากเม็ดเลือดแดงแตกในหลอดเลือด
จะสังเกตเห็นปัสสาวะเป็นสีดำหรือสีโคล่า
เนื่องจากฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงถูกกรองออกมากับไต ซึ่งจำเป็นต้องนำส่ง รพ.เพื่อให้การรักษาแบบประคับประคองทันที


อันตรายที่เกิดขึ้นเมื่อมีเม็ดเลือดแดงแตกเฉียบพลัน (Hemolytic crisis) เช่นนี้คือ
ภาวะไตวาย
เนื่องจากไตขาดเลือดเฉียบพลันเพราะขาดเม็ดเลือดแดงที่นำออกซิเจนมาหล่อเสี้ยง(เม็ดเลือดแดงแตกหมด)
และยังได้รับฮีโมโกลบินปริมาณมาก ซึ่งเป็นพิษต่อไตโดยตรง



การรักษา

เป็นการรักษาตามอาการแบบประคับประคอง เช่น การให้เลือด,การให้น้ำในปริมาณที่เพียงพอเพื่อป้องกันไตวาย


ส่วนการแตกของเม็ดเลือดแดงจะหยุดได้เอง โรคนี้ไม่มีการรักษาที่หายขาดในขณะนี้

สิ่งที่ดีที่สุดคือ การให้คำปรึกษาและร่วมวางแผนระหว่างครอบครัวและแพทย์
การหาผู้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรค

การให้คำแนะนำและปรึกษาเกี่ยวกับโรค
จะทำให้โอกาสให้กำเนิดบุตรที่เกิดมาเป็นภาระต่อพ่อแม่น้อยลง



การปฏิบัติตัว

1. แจ้งให้แพทย์ทราบเสมอว่าเป็นโรคนี้

2. เมื่อเกิดอาการไม่สบาย ควรปรึกษาแพทย์ ไม่ซื้อยากินเอง

3. เมื่อเกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตก ควรเข้าโรงพยาบาลเพื่อให้การรักษาทันที

4. หลีกเลี่ยงยาหรือสารที่อาจทำให้เกิดอาการ

5. เมื่อจะมีบุตร ควรได้รับคำแนะนำจาแพทย์
เรื่องการถ่ายทอดไปยังลูกเพื่อประโยชน์ในการตัดสินใจวางแผนครอบครัว



อาหารต้องห้าม


นอกจากยาแล้วอาหารที่รับประทานก็พบว่ามีผลต่อเม็ดเลือดแดงของผู้ป่วยเช่นกัน นั่นคือ
ถั่วปากอ้า (Fava bean) โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าถั่วนั้นยังดิบอยู่ และลูกเหม็น (napthalene)
ที่ใช้อยู่ประจำตามบ้านค่ะ




* คนที่มีภาวะพร่องเอนไซม์ จีซิกพีดี ( G6PD Deficiency)
จึงไม่ควรรับประทานใบและเมล็ดมะรุมเพราะมีสารชนิดเดียวกับที่มีอยู่ในถ้วปากอ้า


* โพลีไซทีเมียเวอร่า เป็นภาวะเลือดข้น ที่เกิดจากความผิดปกติของการสร้างเม็ดเลือด
ทั้งเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด ซึ่งมักพบในผู้สูงอายุ
หรือผู้ที่มีม้าม หรือฮอร์โมนผิดปกติ

ซึ่งสารในมะรุมไม่ส่งผลต่อภาวะนี้
และน่าจะมีผลดีต่อการสร้างภูมิต้านทานในร่างกายได้มากขึ้น *

วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553

ประโยชน์จากใบมะรุมสด : มะรุมแคปซูล

ประโยชน์จากใบมะรุมสด


จาก "มะรุม ต้นไม้มหัศจรรย์เพื่อชีวิต โดยคุณวิไลวรรณ อนุสารสุนทร จากหนังสือ นาฬิกาชีวิต ตอน ๒" ทางเว็บไซต์ขอความกรุณาคัดลอกบทความจากหนังสือดังกล่าว นำมาเผยแพร่ เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อบุคคลทั่วไป รายละเอียดของหนังสือมีดังต่อไปนี้ :

ประโยชน์จากใบมะรุมสด

เพื่อให้ได้ประโยชน์เต็มที่ ควรรับประทานใบสดที่ไม่แก่หรืออ่อนเกินไป การใช้ใบสดปรุงอาหารต่าง ๆ สามารถทำได้ตามความต้องการและความถนัดเนื่องจากใบมะรุมมีธาตุเหล็กสูง ฉะนั้นจึงไม่ควรให้ทารกในวัยเจริญเติบโตถึง 2 ขวบ รับประทานในปริมาณที่มากเกินไป



ใบมะรุมสดก็เหมือนผักใบเขียวทุกชนิด ไม่ควรรับประทานเป็นจำนวนมากเพราะจัดเป็นยาถ่ายประเภทหนึ่ง เมื่อเริ่มรับประทาน บางท่านอาจจะมีอาการท้องเสียอาการต่าง ๆ มิได้เกิดขึ้นกับทุกคน เข้าใจว่าเป็นไปตามสภาพร่างกายของแต่ละคน ผู้เขียนมีอาการง่วงขนาดหนักจนขับรถแทบไม่ได้ส่วนบุตรชายของผู้เขียนและ ดร.ภาธร ศรีกรานนท์ มีผื่นลมพิษทันทีหลังรับประทาน
               ผู้เขียนได้ปรึกษาเรื่องนี้กับท่านอาจารย์สุทธิวัสส์ คำภา ซึ่งท่านได้ให้คำอธิบายว่า เป็นผลมาจากการที่ร่างกายได้สะสมสารพิษไว้เป็นจำนวนมาก หากเกิดอาการเช่นนี้ให้หยุดรับประทานชั่วคราวแล้วเริ่มใหม่ ทำเช่นนี้หลาย ๆ ครั้ง อาการจะดีขึ้นตามลำดับ
              จากผลการทดลองของเวิร์ดเชิสยังไม่พบผู้มีอาการแพ้เลยแต่สำหรับประเทศ ไทยนั้น ท่านอาจารย์สุทธิวัสส์  พบว่า   มีผู้เกิดอาการแพ้ภายหลังรับประทานใบมะรุม โดยมีอาการวิงเวียนศีรษะ ในกรณีนี้ท่านแนะนำให้รับประทาน ใบแมงลัก อาการวิงเวียนศีรษะก็จะหายไป การรับประทานใบสด ไม่ควรถูกความร้อนนานเพราะจะทำให้สูญเสียสารอาหารหลายชนิด ใบสดใช้จิ้มน้ำพริก ใส่แกง ใส่สลัด และแซนด์วิช ใบสดเปล่า ๆ จะมีรสเผ็ด แต่เมื่อรับประทานกับข้าวหรือแซนวิชจะไม่รู้สึกเผ็ดเลย

จาก หนังสืออ้างอิงของ ดร.ฟุคเล่ย กล่าวว่า ถ้าคั้นใบมะรุมสดดื่มวันละ 1 ช้อนโต๊ะ จะสามารถรักษาอาการของโรคเบาหวานได้ และควบคุมความดันโลหิตสูงได้ด้วย

การรับประทานใบมะรุมสดสำหรับเด็กเล็ก ที่เริ่มรับประทานอาหารจนถึงอายุ 3 - 4 ขวบ ควรใส่เพียงเล็กน้อย

ถ้าคั้นเป็นน้ำ ควรใส่เพียงวันละ 1 – 2 หยด ผสมอาหารหรือเครื่องดื่มยกเว้นเด็กที่ขาดสารอาหารอย่างรุนแรง จึงควรเพิ่มขนาดตามสมควร จากนั้นจึงค่อยเพิ่มปริมาณทีละน้อย ๆ ตามอายุและความเหมาะสม ไม่ควรให้เกินขนาดเพราะสำหรับเด็กในวัยเติบโต การให้ธาตุเหล็กเกินขนาดกลับจะให้โทษมากกว่าคุณ

วัยรุ่นและผู้ใหญ่ วันละ 1- 3 กิ่ง รับประทานสด หรือใช้ประกอบอาหารก็ได้ ถ้าจะให้ได้ผลเร็วควรคั้นประมาณวันละ 1 ช้อนโต๊ะ สำหรับผู้ใหญ่และ 1 ช้อนชาสำหรับ เด็กวัยรุ่น ถ้ามีอาการท้องเสียให้ลดจำนวนลง แล้วค่อย ๆ เพิ่ม อาการจะดีขึ้น การรับประทานสม่ำเสมอจะสร้างภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย


ผู้เขียนและสมาชิกในครอบครัว ตลอดจนเพื่อน ๆ รวมทั้งพระสงฆ์วัดป่าธรรมชาติหลายรูปรับประทานเป็นประจำ ในระยะ 3 – 4 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยเจ็บป่วยหรือเป็นไข้หวัด หรือแม้แต่อาการปวดศีรษะอย่ารุนแรงที่เคยเป็นมานานก็ พลอยหายไปด้วย จะมีก็แต่อาการหวัดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

การรับประทานใบตากแห้งจะให้ผลดีกว่าใบสด
 เพราะสามารถรับประทานได้มากกว่า ผลย่อมดีกว่า ทั้งยังสะดวกกับการพกติดตัวไปตามที่ต่างๆ แม้การรับประทานใบแห้ง จะทำให้ขาดไวตามินซีไปบ้างก็ตาม แต่ก็สามารถหาทดแทนได้จากพืชผักและผลไม้ต่าง ๆ การรับประทานใบแห้งอาจชง ดื่มเป็นน้ำชาซึ่งอาจให้ผลช้ากว่าในรูปของแคปซูล เมื่อผู้เขียนเริ่มรับประทานแคปซูลใหม่ ๆ จะสังเกตและรู้สึกได้ทันทีว่าอาการปวดศีรษะหายไปพร้อมๆ กับอาการปวดเมื่อยตามข้อกระดูกภายในระยะเวลาประมาณ 1 เดือน ในช่วง 2-3 อาทิตย์แรก ดูเหมือนว่าอาการปวดจะรุนแรงขึ้นจนนึกอยากจะหยุดเสีย แต่เมื่อย่างเข้าอาทิตย์ที่ 4 อาการปวดต่างๆตามกล้ามเนื้อเริ่มหายไป และอาการนิ้วติดก็หายไปโดยไม่รู้ตัว ผิวพรรณก็ดูเปล่งขึ้น สีหน้าเริ่มมีเลือดฝาด มะรุมจัดอยู่ในประเภทอาหารและเป็นยา ดังนั้นย่อมส่งผลช้ากว่ายาสมัยใหม่ ต้องมีความอดทน และรับประทานอย่างสม่ำเสมอ ผลที่ได้อาจจะช้าแต่ก็คุ้มค่าทีเดียว


จำหน่ายมะรุมแคปซูล   100 แคปซูล  150 บาท

ติดต่อ ปัทมพร  080-3432553
อีเมลล์  online_richteam@hotmail.com

มะรุม : พืชมหัศจรรย์ รักษาสารพัดโรค

มะรุม : พืชที่คุณอยากรู้




ระยะนี้มีข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับการใช้มะรุมรักษาโรคต่างๆ และพบกระทู้ข่าวใน Internet มากมาย รวมทั้งมีโทรศัพท์เข้ามาถามที่สำนักงานข้อมูลสมุนไพรอยู่บ่อยครั้ง ทางสำนักงานฯ จึงรวบรวมข้อมูลการวิจัยที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค และเป็นแนวทางที่จะช่วยในการตัดสินใจใช้ผลิตภัณฑ์มะรุมต่างๆ เพื่อดูแลสุขภาพ ป้องกันหรือรักษาโรค ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบพืชสด แห้ง เป็นแคปซูล หรือเป็นสารสกัด



ในตำรายาพื้นบ้านใช้ใบมะรุมพอกแผลช่วยห้ามเลือด ทำให้นอนหลับ เป็นยาระบาย ขับปัสสาวะ และช่วยแก้ไข้ ใช้ส่วนดอกและผลเป็นยาบำรุง ขับปัสสาวะ และแก้ไข้ ใช้ส่วนเมล็ดบดพอกแก้ปวดตามข้อ และแก้ไข้



ในภาพรวมของข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการวิจัยในระดับเซลล์และสัตว์ทดลองพบว่า มะรุมมีฤทธิ์ที่น่าสนใจมากมาย เช่น ฤทธิ์ลดความดันโลหิต ต้านการเกิดเนื้องอก ต้านมะเร็ง ลดระดับคอเลสเตอรอล ต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ป้องกันตับอักเสบ ต้านออกซิเดชัน ต้านเชื้อแบคทีเรีย ลดระดับน้ำตาล และฤทธิ์ต้านการอักเสบ


มีการศึกษาในคนเพียงชิ้นเดียว โดยมีเพียงรายงานเกี่ยวกับการใช้ยา Septillin ® ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีสารสกัดจากพืช 6 ชนิด ได้แก่ มะรุม บอระเพ็ด จิตรลดา มะขามป้อม ชะเอมเทศ Balsamodendron mukul (พืชอินเดีย) และเปลือกหอยสังข์ โดยพบว่า Septillin ® ให้ผลดีทางคลินิกในเด็กซึ่งมีปัญหาเกี่ยวกับการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบน และการติดเชื้อที่ผิวหนัง

ทำไมวงการแพทย์ยกให้มะรุมเป็นพืชมหัศจรรย์?


เพราะว่า สารอนุมูลอิสระที่มีจำนวนมากในใบมะรุมสารที่ช่วยป้องกัน และ บรรเทาโรคร้ายหลายโรค อาทิ มะเร็ง เบาหวาน ความดันโลหิด เพิ่มปริมาณซีดี 4 เกาต์ และโรคใหม่ในหนุ่มสาว คือโรคตาบอดและโรคสายตาจากคอมพิวเตอร์ โรคไขข้อจากการพิมพ์นานๆ การนั่งท่าผิดปรกตินานๆ จนเกิดอาการไขข้อ






สารอาหารเปรียบเทียบกรัมต่อกรัม

วิตามินซี มากกว่าส้ม 7 เท่า

มีแคลเซียม มากกว่านม 4 เท่า

มีวิตามินเอ มากกว่าแครอท 4 เท่า

มีโปรแตสเซียม มากกว่ากล้วย 3 เท่า

มีโปรตีน มากกว่านม 2 เท่า


สรรพคุณจาก นิตยสารหมอชาวบ้าน

1.  ใช้รักษาโรคขาดอาหารในเด็กแรกเกิดถึง 10 ขวบ และลดสถิติการเสียชีวิต พิการ และตาบอดได้เป็นอย่างดี
2.  ใช้รักษาผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานให้อยู่ในภาวะควบคุมได้
3.  รักษาโรคความดันโลหิตสูง
4.  ช่วยเพิ่มและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย ทานผลิตผลจากมะรุมในระหว่างตั้งครรภ์ เด็กที่เกิดมาจะไม่ติดเชื้อHIV นอกจากนี้ถ้ารับประทานอย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 ครั้งยังช่วยให้คนทั่วๆไปสามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง ช่วยรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ให้อยู่ในภาวะควบคุมได้ การรักษาโรคเอดส์ที่ประสพผลสำเร็จในกลุ่มประเทศแอฟริกา
5.  ถ้ารับประทานสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นโรคมะเร็ง แต่ถ้าหากเป็นก็จะช่วยให้การรักษาพยาบาลง่ายขึ้น ในบางกรณีสามารถหยุดการเจริญเติบโตของโรคร้ายได้ ถ้าใช้ควบคู่ไปกับยาแพทย์แผนปัจจุบัน หากผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งได้รับการรักษาด้วยรังสี การดื่มน้ำมะรุมจะช่วยให้การแพ้รังสีฟื้นตัวเร็วขึ้นและมีร่างกายที่แข็งแรง
6.  ช่วยรักษาโรคไขข้ออักเสบ โรคเก๊าท์ โรคกระดูกอักเสบ โรคมะเร็งในกระดูก โรครูมาติซั่ม
7.  รักษาโรคตาเกือบทุกชนิด เช่น โรคตามืดตามัวเพราะขาดสารอาหารที่จำเป็น โรคตาต้อ เป็นต้น หากรับประทานสม่ำเสมอ จะทำให้ตามีสุขภาพที่สมบูรณ์
8.  รักษาโรคลำไส้อักเสบ โรคเกี่ยวกับท้อง ท้องเสีย ท้องผูก โรคพยาธิในลำไส้
9.  รักษาปอดให้แข็งแรง รักษาโรคทางเดินของลมหายใจ และโรคปอดอักเสบ



มะรุม ยาวิเศษสารพัดโรค

ราก มีรสเผ็ด หวาน ขม แก้อาการบวม บำรุงไฟธาตุ

เปลือกจากลำต้น มีรสร้อน นำมาสับให้เป็นชิ้นเล็กๆ ใส่ผ้าห่อทำเป็นลูกประคบนึ่งให้ร้อนนำมาใช้ประคบ แก้โรค ปวดหลัง ปวดตามข้อได้เป็นอย่างดี รับประทานเป็นยาขับลมในลำไส้ ทำให้ผายหรือเรอ คุมธาตุอ่อนๆ (ตัดต้นลมดีมาก) แพทย์ตามชนบท จะใช้เปลือกมะรุมสดๆ ตำบุบพอแตกๆ อมไว้ข้างแก้ม แล้วรับประทานสุราจะไม่รู้สึกเมา

กระพี้ แก้ไข้สันนิบาดเพื่อลม


ใบ ช่วยแก้เลือดออกตามไรฟัน แก้อักเสบ ใบสดมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ มีแคลเซียม วิตามินซี แร่ธาตุและสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก นอกจากนี้ยังมีการค้นพบว่า ใบมะรุมมีโปรตีนสูงกว่านมสด 2 เท่า การกินใบมะรุมตามชนบทของประเทศกำลังพัฒนา และประเทศโลกที่ 3 เป็นการเพิ่มโปรตีนคุณภาพสูงราคาถูกให้กับอาหารพื้นบ้าน


ดอก ช่วยบำรุงร่างกาย ขับปัสสาวะ ขับน้ำตา ใช้ต้มทำน้ำชาดื่มช่วยให้นอนหลับสบาย


ฝัก รสหวาน แก้ไข้หรือลดไข้


เมล็ด นำเมล็ดมะรุมมาสกัดน้ำมันสามารถใช้ทำอาหาร รักษาโรคปวดตามข้อ โรคเก๊า รักษาโรครูมาติซั่ม และรักษาโรคผิวหนัง แก้ผิวแห้ง ใช้แทนยารักษาผิวให้ชุ่มชื้น รักษาโรคอันเกิดจากเชื้อรา


สำหรับงานวิจัยที่น่าสนใจในสัตว์ทดลองมีโดยย่อดังนี้


ฤทธิ์ลดความดันโลหิต

สารสกัดน้ำและเอทานอลของใบมะรุม สารสกัดเอทานอลของผลและฝัก สารในกลุ่ม glycosides ในสารสกัดเมทานอลของฝักแห้งและเมล็ด แสดงฤทธิ์ลดความดันโลหิตในสุนัขและหนูแรท

ฤทธิ์ต้านการเกิดเนื้องอกและฤทธิ์ต้านมะเร็ง

สารสำคัญในกลุ่ม thiocarbamate จากใบ สารสกัดเอทานอลของเมล็ด แสดงฤทธิ์ทั้งยับยั้งการเจริญเติบโต และทำลายเซลล์มะเร็ง เมื่อป้อนสารสกัดของผลและฝัก ขนาด 5 มก./กก. น้ำหนักตัว มีผลลดจำนวนหนูเม้าส์ที่เป็นมะเร็งผิวหนังได้

ฤทธิ์ลดระดับคอเลสเตอรอล

สารสกัดน้ำของส่วนใบ มีผลลดระดับคอเลสเตอรอลและลดการเกิด plaque ในหลอดเลือดของหนูแรทและกระต่ายซึ่งได้รับอาหารชนิดที่มีไขมันสูง การทดสอบโดยให้กระต่ายที่มีระดับคอเลสเตอรอลสูงและกระต่ายปกติ โดยให้กินผลมะรุมขนาด 200 มก./กก. น้ำหนักตัว ต่อวัน นาน 120 วัน เปรียบเทียบกับยาลดไขมันโลวาสแตทิน 6 มก./กก. น้ำหนักตัว ต่อวัน และให้อาหารไขมันมาก พบว่ามีผลลดระดับคอเลสเตอรอล, phospholipids, triglycerides, low density lipoprotein (LDL), very low density lipoprotein (VLDL), อัตราส่วนระหว่างคอเลสเตอรอลและ phospholipids และ atherogenic index ในกระต่ายกลุ่มแรกได้

ฤทธิ์ต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร

สารสกัดเมทานอลของใบ และสารสกัดเมทานอลจากส่วนดอก สามารถยับยั้งการเกิดแผลในกระเพาะอาหารของหนูแรท ซึ่งถูกเหนี่ยวนำโดยแอสไพรินได้ ในขณะที่สารสกัดน้ำจากใบมีผลป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหารด้วย

ฤทธิ์ป้องกันตับอักเสบ

สารสกัด 80% เอทานอลจากใบ สารสกัดน้ำและสารสกัดเอทานอลจากดอก มีฤทธิ์ป้องกันการทำลายเซลล์ตับหนูแรทที่ได้รับ acetaminophen (ยาพาราเซตามอล) และสารสกัดน้ำจากส่วนรากแสดงฤทธิ์ป้องกันการทำลายเซลล์ตับหนูแรทจากการเหนี่ยวนำโดยยาไรแฟมพิซิน

ฤทธิ์ต้านออกซิเดชัน

สารสกัดน้ำ สารสกัด 80% เมทานอล และสารสกัด 70% เอทานอลจากส่วนใบ ผงแห้งบดหยาบและสารสกัดน้ำจากเมล็ด และสารในกลุ่ม phenol จากส่วนราก สามารถต้านและกำจัดอนุมูลอิสระได้

ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย

น้ำคั้นสดของใบ สารประกอบคล้าย pterygospermin ของดอก สารสกัดอะซีโตนและสารสกัดเอทานอลจากเมล็ด สารสกัดน้ำจากเมล็ด น้ำคั้นจากเปลือกต้น สารสกัดเอทานอลของเปลือกราก และสาร athomin จากเปลือกราก มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียได้หลายชนิด นอกจากนี้ยังมีการใช้สารสกัดน้ำมันจากเมล็ด ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับใช้กับตา โดยพบว่าใช้ได้ดีกับ pyodermia ในหนูเมาส์ ที่มีสาเหตุมาจาก Staphylococcus aureus

ฤทธิ์ลดระดับน้ำตาล

ผงใบแห้ง สารสกัด 95% เอทานอล และเถ้าจากเปลือกต้น มีผลลดระดับน้ำตาลในเลือดของหนูแรทปกติ และหนูที่เป็นเบาหวาน ส่วนสารสกัดเมทานอลจากเปลือกรากแสดงฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในหนูเม้าส์

ฤทธิ์ต้านการอักเสบ

ชาชงน้ำร้อน และสารสกัดเมทานอลจากราก มีฤทธิ์ยับยั้งอาการบวมที่อุ้งเท้าหลังของหนูแรทและหนูเม้าส์ที่ถูกเหนี่ยวนำด้วยคาราจีแนน ในขณะที่เมล็ดแก่สีเขียว สารสกัดเอทานอลจากเมล็ดแห้ง และสารสกัดเอทานอลจากเมล็ด มีผลลดการอักเสบของทางเดินหายใจในหนูตะเภา ซึ่งยืนยันถึงการใช้มะรุมในทางพื้นบ้านเพื่อบำบัดอาการผิดปกติจากภูมิแพ้ เช่น หอบหืด สารสกัดเอทานอลจากเมล็ด สามารถลดการบวมของอุ้งเท้าบริเวณข้อของหนูแรท และพบว่าสารสกัดมะรุมมีผลลด oxidative stress ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับฤทธิ์ต้านการอักเสบด้วย

ความเป็นพิษ


มีการรายงานความเป็นพิษของมะรุมในระดับเซลล์และในสัตว์ทดลองว่า

สารสำคัญ 4(alpha-L-rhamnosyloxy) phenylacetonitrile จากเมล็ด แสดงความเป็นพิษต่อเซลล์ใน Micronucleus test

สารสกัดน้ำจากใบ หรือ 90% เอทานอล ในขนาด 175 มก./กก. ของน้ำหนักแห้ง เมื่อป้อนให้หนูแรทที่มีการผสมพันธุ์ สามารถทำให้เกิดการแท้งได้

สารสกัดน้ำของรากขนาด 200 มก./กก.น้ำหนักตัว เมื่อให้กับหนูแรท จะเหนี่ยวนำให้เกิดทารกฝ่อ (foetal resorption) ในการตั้งครรภ์ระยะสุดท้าย

สารสกัดเมล็ดด้วย 0.5 M borate buffer มีผลทำให้เม็ดเลือดแดงของกระต่ายรวมตัวกัน

เมื่อให้หนูแรทกินผงของเมล็ดดิบที่แก่ของมะรุม โดยไม่จำกัดจำนวนเป็นเวลา 5 วัน พบว่าทำให้ความอยากอาหาร การเจริญเติบโตและการใช้โปรตีนลดลง ขนาดของกระเพาะอาหาร ลำไส้ ตับ ตับอ่อน ไต หัวใจ และปอดใหญ่ขึ้น ในขณะที่ต่อมไทมัส และม้ามมีลักษณะฝ่อลง โดยเปรียบเทียบกับหนูกลุ่มที่ได้รับอาหารที่มีไข่ขาวเป็นส่วนประกอบ

การทดสอบความเป็นพิษโดยให้หนูเม้าส์กินส่วนราก หรือฉีดสารสกัดไม่ระบุชนิดตัวทำละลายเข้าใต้ผิวหนัง ในขนาด 10 ก./กก. น้ำหนักตัว ไม่พบความเป็นพิษ


การทดลองในสัตว์เป็นข้อมูลเบื้องต้นที่มีประโยชน์เพื่อการทำวิจัยต่อยอดไปยังการทดลองในมนุษย์ ซึ่งจะเห็นได้ว่า ตัวทำละลายที่นักวิจัยใช้ในการสกัดจะมีทั้งน้ำ และแอลกอฮอล์ เพื่อให้สะดวกต่อการป้อนสัตว์ทดลอง ซึ่งข้อมูลข้างต้นเป็นความรู้ที่จะทำให้สามารถหาส่วนสกัดที่มีสารสำคัญได้ หากจะรับประทานใบ เนื้อในฝัก หรือดอกมะรุม ซึ่งเราใช้เป็นอาหารมานานแล้วเพื่อการรักษาโรค ก็อาจทำได้แต่อย่าหวังผลมากนัก และไม่ควรรับประทานในปริมาณมาก หรือติดต่อกันนานเกินไป ซึ่งอาจมีการสะสมสารบางอย่างและอาจเป็นพิษได้ และจากรายงานความเป็นพิษในสัตว์ทดลอง ซึ่งพบว่าทำให้เกิดการแท้ง ดังนั้นควรระมัดระวังการใช้ส่วนต่างๆ ของมะรุมในสตรีมีครรภ์

รายละเอียดที่นำเสนอนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่นำมาจากบทความเรื่อง

“มะรุม: พืชสมุนไพรหลากประโยชน์”

โดยรองศาสตราจารย์ วิมล ศรีศุข ซึ่งอยู่ในจุลสารข้อมูลสมุนไพรฉบับ 26(4) ที่กำลังจะนำมาเผยแพร่สู่ประชาชนในเดือนกรกฎาคม 2552 หากต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม โปรดติดต่อสำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

มะรุมแคปซูล


ราคา 1 กระปุก   100 แคปซูล   =  150 บาท  + ค่าส่ง 20 บาท

บรรจุ แคปซูลละ 500 มก. (ใบมะรุม 100%)

ซื้อ  5 กระปุก ขึ้นไป ส่งฟรี

สนใจติด  คุณปัทมพร  080-3432553

จ.เพชรบรณ์  ปลูกเอง ขายเองค่ะ ผลิตภัณฑ์โฮมเมด
รับรองความสะอาด ใบมะรุมต้นขนาด 5 ปีขึ้นไป  

อีเมลล์  online_richteam@hotmail.com 


ข้อควรระวัง
ห้าม..ผู้ที่เป็นโรคเลือดG6PD (โรคเม็ดโลหิตแดงแตกกระจาย) และ สตรีมีครรภ็..
ไม่ควรรับประทานหรือก่อนรับประทานควรปรึกษาแพทย์ ..
ผู้ที่แพ้สมุนไพรทุกชนิด หรือเป็นภูมิแพ้อย่างรุนแรง



อ้างอิงจาก : หนังสือนาฬิกาชีวิต ตอน 2 "มะรุม พืชสมุนไพรหลากประโยชน์ " โดย รศ.ดร วิมล ศรีสุข ซึ่งอยู่ในจลสารข้อมูลสมุนไพรฉบับ 26 (4)


วิธีรับประทาน : ทานครั้งล่ะ 1-2 แคปซูล วันละ 1-2 ครั้งก่อนอาหาร


ส่วนประกอบสำคัญ : ใบมะรุม 100 %




ขั้นตอนการทำใบมะรุมแคปซูล



การทำใบมะรุมแห้งให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ควรถูกความร้อนให้น้อยที่สุด บางคนเอาใบมะรุมไปอบแห้งความร้อนสูงบ้าง อบไมโครเวฟบ้าง เป็นวิธีที่ไม่ถูกต้องเลย แบบนั้นมันทำง่ายแต่ประโยชน์ที่เราจะรับประทานมะรุมเข้าไปมันเหลือน้อยมาก

สำหรับคนที่ทำรับประทานมะรุมเองแนะนำให้เอาใบมะรุมไปผึ่งในที่ร่มหรือผึ่งลมดีที่สุด

ก่อนเก็บใบมะรุมหนึ่งวันให้ฉีดน้ำล้างใบมะรุมให้สะอาด จากนั้นนำมาผึ่งให้แห้งในที่ร่ม

ถ้าตากแดดใบมะรุมต้องคลุมผ้าให้มิด ใบแห้งสนิทจะสังเกตได้ง่ายคือใบมะรุมจะกรอบ

ถ้าจะเก็บไว้ดื่มเป็นชาต้องเก็บใบมะรุมในภาชนะที่ทึบแสงป้องกันการเสื่อมคุณภาพ

การทำผงมะรุม

1. บดใบมะรุมด้วยเครื่องบดกาแฟ

2. ใส่ครกตำใบมะรุมให้ละเอียด

3. ถ้าไม่สามารถหาสิ่งเหล่านี้ได้ ก็ให้เอาใบมะรุมแห้งใส่ตะแกรงถี่ๆ แล้วใช้แปรงลวดปัดไปปัดมาจะได้ผงมะรุมแห้ง

การบรรจุแคปซูลใบมะรุม

วิธีง่ายๆ คือหาภาชนะเล็กๆ ตื้นๆ เทผงมะรุมลงไป ใช้กระดาษสะอาดปิด กดเบาๆ ให้ผงมะรุมอัดกันแน่น จากนั้นนำแคปซูลเปล่า เปิดฝาออก จับส่วนที่ยาวกดลงไปในผงมะรุมจนแน่น แล้วปิดฝาด้วยส่วนที่สั้น (ส่วนที่สั้นไม่ต้องกดผง) หาซื้อแคปซูลเปล่าได้ตามร้านขายยาแผนโบราณทั่วไป

วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

ว่านชักมดลูก

การสร้างเสริมสุขภาพ ซึ่งสนับสนุนการส่งเสริมสุขภาพมากกว่าการซ่อมสุขภาพ เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2544 สิ่งหนึ่งที่หมอเห็นความเปลี่ยนแปลงในไม่กี่ปีมานี้ คือแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน




แพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือกดังกล่าว เช่น การนวด การกดจุด การใช้สมุนไพร การฝังเข็ม ธรรมชาติบำบัด ชี่กง ธาราบำบัด การนวด โยคะ ฯลฯ แต่เดิมแพทย์แผนปัจจุบันไม่ค่อยให้ความสนใจนัก แต่เมื่อความนิยมในแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือกมากขึ้น แพทย์แผนปัจจุบันก็ต้องปรับตัว บางคนถึงกับทำการศึกษาค้นคว้าวิจัยด้วยตนเอง



ปีสองปีนี้ หมอพบคนไข้สตรีหลายคนมาหาด้วยเรื่องปัญหาในการใช้สมุนไพร ทำให้หมอต้องศึกษาค้นคว้าเรื่องสมุนไพรด้วยตนเองบ้าง และพบว่า…แม้ลึกๆ แล้ว หมอก็มีความศรัทธาต่อการใช้สมุนไพรบางอย่าง แต่สมุนไพรอีกหลายอย่าง หมอก็ไม่กล้าแนะนำให้คนไข้ใช้ เนื่องจากข้อจำกัดของสมุนไพรหลายชนิดคือ ขาดการวิจัยการใช้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ขาดความรู้เรื่องพิษของสมุนไพร คุณสมบัติของสมุนไพร ขนาดที่เหมาะสมของสมุนไพรต่อการรักษาโรค ตลอดจนความสะอาดในการเตรียมสมุนไพร ฯลฯ



ปัญหาที่หมอเจอบ่อยๆ ในช่วงนี้ ได้แก่ สมุนไพรไทยที่ชื่อ ว่านชักมดลูก

กรณีของคุณสม : คุณสม อายุ 30 ปี เพิ่งคลอดลูกคนแรกได้หนึ่งอาทิตย์ เธอเลี้ยงลูกด้วยนมตนเอง เธอมาหาหมอด้วยอาการปวดท้องน้อย เธอบอกทันทีที่เจอหน้าหมอว่า

" หมอฉันกินว่านชักมดลูกไป จะเป็นอะไรหรือเปล่า"

" ทำไมคุณสมถึงกินละคะ" หมอถาม

" อ้าว…ก็เห็นเขาโฆษณาในทีวีว่า ชักมดลูกให้เข้าอู่เร็ว ฉันก็เลยซื้อมากินนะสิ กินไปชุดหนึ่ง ตอนนี้ปวดท้องมาก ปวดเหมือนมีประจำเดือน และก็มีเลือดสดๆ ออกมามาก ฉันจะเป็นอะไรหรือเปล่า"

" งั้น ขอหมอตรวจภายในคุณสมหน่อยนะคะ" หมอขออนุญาต


ผลการตรวจภายในของคุณสมพบว่า น้ำคาวปลาที่ควรจะแห้งหรือลดน้อยลงยังมามาก มีสีแดงจัด และมดลูกนอกจากบวมโต ยังมีอาการเจ็บเวลากดถูก

" นอกจากยาชักมดลูก คุณสมกินยาอะไรอีกหรือเปล่า"

" ยาขับน้ำคาวปลา ใส่เหล้านิดหนึ่ง" คุณสมพูดอ้อมแอ้ม

" สรุปตอนนี้คุณสมเป็นมดลูกอักเสบค่ะ คงต้องงดทั้งว่านชักมดลูก และยาดองเหล้านะคะ อันที่จริงหมอก็ไม่รู้หรอกว่า ว่านชักมดลูก และยาดองเหล้านั้น ตัวไหนทำให้มดลูกของคุณสมอักเสบ หรืออาจจะไม่เกี่ยวกับยาทั้งสองอย่างที่คุณสมกินไปก็ได้ค่ะ แต่ตอนนี้หมอจะจัดยาแผนปัจจุบัน คือ ยาแก้อักเสบ ยารัดมดลูก ยาแก้ปวด ให้คุณสมไปรับประทาน คุณสมต้องพักผ่อนให้เต็มที่ งดงานหนัก และงดร่วมเพศ จนครบหนึ่งเดือนนะคะ กินยาและพักผ่อน อาการอักเสบ ปวดท้องที่เกิดขึ้น จะค่อยๆ ทุเลาลงค่ะ" หมอแนะนำ



" ถ้าหายปวดท้องแล้ว ฉันกินว่านชักมดลูกต่อได้ไหมหมอ" คุณสมยังสงสัย

" คุณสมคะ หมอเป็นหมอแผนปัจจุบัน คงตอบคำถามคุณสมไม่ได้ดีนัก แต่เท่าที่หมอทราบ ตามตำรายาแผนโบราณ ว่านชักมดลูกใช้ชักมดลูกให้เข้าอู่ แก้มดลูกพิการ แก้ปวดมดลูก แก้ประจำเดือนมาไม่ปกติ ขับน้ำคาวปลา แก้ธาตุพิการอาหารไม่ย่อย แก้ริดสีดวงทวาร แก้ไส้เลื่อน แก้โรคกระเพาะอาหาร ลำไส้ แก้โรคมะเร็ง แก้ฝีภายในต่างๆ โดยว่านนี้มีส่วนประกอบของฮอร์โมนเพศหญิง จึงไม่ควรใช้ว่านชักมดลูกติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือในขนาดสูง เพราะจะทำให้เกิดอาการปวดท้องตกเลือดได้นะคะ

" อย่างไรก็ตาม ในความเห็นของหมอ ว่านชักมดลูกนั้น มีมาตั้งแต่สมัยโบราณใช้ชักมดลูกเข้าอู่ ในการคลอดลูกที่ไม่ได้ให้น้ำเกลือ ไม่ได้ให้ยาแก้อักเสบ ไม่ได้ให้ยารัดมดลูก ไม่มีการเย็บแผลช่องคลอด ไม่มีการผ่าตัดคลอด แบบการคลอดลูกสมัยใหม่ ซึ่งมีการให้ยารัดมดลูก ยาแก้อักเสบ ทั้งทางเส้นเลือดและทางการกิน สารพัดชนิด… ดังนั้นการคลอดแบบสมัยใหม่ อาจไม่จำเป็นต้องใช้ว่านชักมดลูก ซึ่งมีปัญหาเรื่องขนาดของว่าน ว่าควรกินเท่าไร จึงจะเหมาะสม และยังไม่มีการศึกษาที่ชัดเจนว่า การกินว่านในขณะให้นมบุตร จะมีผลเสียต่อบุตรอย่างไรนะคะ" หมออธิบาย คุณสมซึ่งพยักหน้าอย่างรับรู้ และถามอะไรอีกเล็กน้อย ก่อนลากลับ


กรณีของคุณป้าวันดี : คุณป้าวันดี อายุ 78 ปี มาหาหมอด้วยอาการมีเลือดออกช่องคลอด หลังจากกินว่านชักมดลูก

" หมดเลือดไปเกือบสามสิบปี แล้วมีเลือดมานั้น จะเป็นอะไรหรือเปล่าหมอ" คุณป้าถาม

" ขอหมอตรวจภายในคุณป้าก่อนนะคะ" หมอขออนุญาต


ผลการตรวจภายในพบว่า ปากมดลูกและมดลูกของคุณป้าวันดีอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่มีเลือดสีคล้ำๆ ออกมาจากโพรงมดลูก

" คุณป้ากินว่านชักมดลูก เพราะอะไรคะ" หมอถามเหตุผลของคุณป้า

" เขาว่าว่านชักมดลูกเป็นประเภทเดียวกับขมิ้นชัน กินแล้วป้องกันมะเร็งได้ ฉันเลยซื้อมากินไปสองกล่อง" คุณป้าบอก

" แล้วเลือดที่ออกนี่มันเกี่ยวกับว่านชักมดลูกหรือเปล่าคะหมอ" ลูกสาวคุณป้าวันดีถาม

" หมอคงบอกไม่ได้ว่าเกี่ยวกับว่านชักมดลูกนี้หรือเปล่านะคะ แต่ว่านชักมดลูกก็อาจทำให้เกิดตกเลือดได้ เพราะมีส่วนประกอบของฮอร์โมนเพศหญิง อย่างไรคุณป้าวันดีควรต้องขูดมดลูก เพื่อตรวจหาความผิดปกติในโพรงมดลูก ที่ทำให้เกิดมีเลือดผิดปกติตกออกมานะคะ" หมอแนะนำ

" แค่นี้ต้องขูดมดลูกด้วยหรือ ฉันยังไม่อยากขูดมดลูกนะหมอ" คุณป้าวันดีท้วง ท่าทางไม่สบายใจ

" ถ้าคุณป้ายังไม่อยากขูดมดลูก ก็อาจลองหยุดกินว่านชักมดลูกแล้วดูอาการ ถ้าเลือดหยุดไป ไม่มาอีก ก็อาจจะยังไม่ต้องขูดมดลูกค่ะ แต่ถ้าหยุดกินว่านแล้ว ยังมีเลือดออกอีก คงต้องขูดมดลูก ซึ่งเป็นทั้งการรักษาให้เลือดหยุด และเป็นการตรวจเพิ่มเติม ว่ามีอะไรผิดปกติหรือเปล่านะคะ" หมอพูดซ้ำ

" งั้น ยังไม่ขูดนะลูก ลองหยุดกินว่านก่อน" คุณป้าหันไปบอกลูกสาว ก่อนทั้งสองคนจะลากลับ

หมอยังเจอคนไข้อีกหลายคนที่กินว่านชักมดลูก เพื่อกระชับช่องคลอด เพื่อให้สวย เพื่อให้หายตกขาว บางรายก็บอกว่าดี บางรายก็มาหาหมอ เพราะมีอาการเจ็บปวด และผิดปกติภายในร่างกาย



นอกจากว่านชักมดลูก หมอยังเจอปัญหาของคนไข้กับสมุนไพรอีกหลายอย่าง จึงขอแนะนำคุณๆ ในการเลือกใช้สมุนไพร ดังนี้ค่ะ

1. ต้องรู้สรรพคุณของสมุนไพร และถามตนเองว่ากินเพื่อรักษาโรคอะไร ซึ่งสมุนไพรส่วนใหญ่มักจะมีสรรพคุณครอบจักรวาล อย่างเช่น ว่านชักมดลูกคือมีผลตั้งแต่ ระบบอวัยวะภายในสตรี (มดลูก) ระบบย่อยอาหาร (กระเพาะอาหาร ลำไส้ ริดสีดวง) มะเร็ง การติดเชื้อ (ฝีภายใน) ทำให้คนบางคนเลือกใช้ เพราะกลัวโรค เพื่อป้องกันโรค ทั้งที่ไม่ได้มีโรคภัยไข้เจ็บอะไร ซึ่งอาจจะเกิดผลเสียมากกว่าผลดี



2. เลือกสมุนไพรที่มีการค้นคว้าวิจัยอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนแล้ว เช่น หญ้าหนวดแมว กระเจี๊ยบแดง สามารถขับปัสสาวะได้ เสลดพังพอน รักษาโรคเริม ฟ้าทะลายโจร แก้ไข้ เจ็บคอ ขิง ขับลม มะระขี้นก แก้เบาหวาน ลดไขมัน ฯลฯ ปัจจุบันหมอมักจะแนะนำให้ใช้สมุนไพรร่วมกับการรักษาแผนปัจจุบัน เช่น แนะนำดื่มน้ำขิง ในคนไข้มีลมในกระเพาะ ให้เอากระเจี๊ยบแดงหรือหญ้าหนวดแมวต้มทำเป็นน้ำชาดื่ม ในกรณีมีทางเดินปัสสาวะอักเสบ เป็นต้น



3. ต้องระวังเรื่องความสะอาด ควรต้องระมัดระวังสมุนไพรที่อยู่ในรูปแคบซูล เพราะถ้าเตรียมสมุนไพรไม่ดี การผลิตไม่ได้มาตรฐาน แทนที่จะได้ยารักษาโรค อาจจะได้เชื้อราก่อมะเร็งเพิ่มเข้ามาค่ะ



4. อย่าเชื่อตามคำโฆษณา สมัยก่อนสมุนไพรนั้นไม่ต้องซื้อต้องหา มีการเข้าป่าไปหามาแบ่งปันกัน หรือคิดเป็นค่าไหว้ครู แต่ปัจจุบันสมุนไพรได้เข้าไปอยู่ในภาคธุรกิจ มีการโหมโฆษณาชวนเชื่อเกินจริง เช่น ว่านชักมดลูก กินแล้วสวย เป็นต้น จึงควรเลือกใช้สมุนไพร เพื่อรักษาโรคและควรได้รับการแนะนำจากแพทย์ผู้รู้จริง จึงจะปลอดภัยค่ะ





(update 31 ตุลาคม 2003)

[ ที่มา..หนังสือ นิตยสารใกล้หมอ ปีที่ 27 ฉบับที่ 9 ตุลาคม 2546 ]

โสม

พูดถึงโสม ทุกคนคงนึกถึงโสมเกาหลี เพราะขึ้นชื่อรู้จักกันมานาน แม้พักหลังๆ จะมีชื่อโสมชนิดอื่นๆ มาให้ได้ยินบ่อยขึ้น อย่างเช่น โสมจีน โสมเอเชีย โสมอเมริกัน โสมอินเดีย โสมอัฟริกา โสมชิลี โสมเปรู โสมไซบีเรีย โสมรัสเซีย คนส่วนใหญ่ก็มักจะเข้าใจว่าบรรดาโสมทั้งหลายล้วนจัดเป็นโสมประเภทเดียวกับโสมเกาหลีกันทั้งนั้น ซึ่งเป็นความเข้าใจทั้งที่ถูกต้องและไม่ถูกต้อง



ชื่อชั้นของโสมเกาหลีคงไม่ต้องอธิบายกันอีกแล้วว่าคือโสมอะไร ส่วนคำว่าโสมจีนกับโสมเอเชียนั้น อันที่จริงหมายถึงโสมชนิดเดียวกัน นักวิชาการฝรั่งคงเห็นว่าโสมชนิดนี้ปลูกกันทั่วไปในเอเชียตะวันออก จึงเรียกเป็นโสมเกาหลีบ้าง โสมจีนบ้าง โสมเอเชียบ้าง บางครั้งก็เรียกว่าโสมตะวันออก หรือโสมญี่ปุ่น ก็แล้วแต่จะเรียก


โสมเกาหลี เป็นที่รู้จักกันมานานมากกว่าสองพันปี เป็นสมุนไพรที่ใช้กันทั่วไป ในวงการแพทย์แผนจีนโบราณ เพื่อวัตถุประสงค์ในการเพิ่มสมรรถภาพของร่างกาย บำรุงกำลังทางเพศ เสริมภูมิต้านทาน ป้องกันและรักษาโรคติดเชื้อบางประเภท โดยมักจะพูดถึงสรรพคุณของโสม กับเรื่องเพศกันเป็นส่วนใหญ่ ทำนองว่าช่วยทำให้เตะปี๊บดัง ว่างั้นเถอะ ส่วนจะจริงหรือไม่จริงนั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่ง



โสมเกาหลีหรือโสมจีน สร้างชื่อกระฉ่อนในวงการสมุนไพรมานานจนกระทั่งกลายเป็นอมตะ ชื่อดังมาก ราคาก็ยิ่งแพง หายากอีกต่างหาก ทำให้ต้องแสวงหาโสมประเภทอื่นๆ เข้ามาใช้ทดแทน บรรดาโสมอเมริกัน โสมอัฟริกา โสมเปรู โสมชิลี โสมไซบีเรีย โสมรัสเซียที่พาเหรดกันเข้ามาในวงการ จึงเป็นสมุนไพรที่วงการโสมพยายามนำมาใช้ทดแทนโสมเกาหลี เมื่อเจอสมุนไพรอื่นๆ ที่เป็นพืชกลุ่มเดียวกับโสม ก็นำมาใช้โดยเข้าใจว่าให้ฤทธิ์เหมือนๆ กัน



อันที่จริงโสมเกาหลีหรือโสมจีนกับโสมอเมริกัน แม้จะเป็นพืชกลุ่มเดียวกันแต่ไม่เหมือนกันนัก ยิ่งโสมไซบีเรียหรือโสมรัสเซียด้วยแล้ว เป็นพืชกลุ่มเดียวกัน แต่ก็นับได้แค่เป็นญาติห่างๆ มีฤทธิ์แตกต่างกันพอสมควร จะบอกว่าโสมไซบีเรียหรือโสมรัสเซียไม่ใช่โสมเกาหลีก็ไม่ผิด



โสมเกาหลีหรือโสมจีนหรือโสมเอเชียมีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Panak ginseng โสมกลุ่มนี้ปลูกอยู่ทั่วไปในประเทศจีน เกาหลี ไต้หวัน รวมถึงบางส่วนของญี่ปุ่น เป็นโสมกลุ่มที่รู้จักกันทั่วไป หากเรียกชื่อ " โสม " แล้วก็ต้องหมายถึงโสมกลุ่มนี้



โสมกลุ่มที่ใกล้ชิดกับโสมเกาหลีมากที่สุดน่าจะเป็นโสมอเมริกัน ซึ่งมีชื่อเรียกทางพฤกษศาสตร์ว่า Panak quinguefolius แม้จะใกล้เคียงโสมเกาหลีแต่ไม่ถึงกับเป็นชนิดเดียวกัน ยังมีสรรพคุณบางอย่างแตกต่างกันอยู่บ้าง โสมอเมริกันนี้เป็นที่รู้จักกันเมื่อมีการเสาะแสวงหาโสมใหม่ๆ ทดแทนโสมเกาหลีจึงได้มาพบโสมอเมริกันนี่แหละ



โสมอัฟริกัน โสมเปรู โสมชิลี และโสมอีกหลายชนิดเป็นโสมที่หามาทดแทนโสมเกาหลีด้วยกันทั้งนั้น มีความแตกต่างจากโสมเกาหลีอย่างละเล็กละน้อย ชื่อเสียงของโสมกลุ่มหลังๆ นี้ยังสู้โสมอเมริกันไม่ได้ ส่วนใหญ่มักจะเป็นเรื่องของการตลาดเสียมากกว่าที่มีผลทำให้โสมกลุ่มหลังนี้ไม่ค่อยดังเท่าโสมอเมริกันนัก



ส่วนโสมไซบีเรียกับโสมรัสเซีย ต้องจัดให้เป็นสมุนไพรอีกกลุ่มหนึ่ง คนในวงการหลายคนเรียกโสมไซบีเรียว่าโสม ทำให้เข้าใจกันว่าเป็นโสมเกาหลีที่ปลูกในไซบีเรีย ซึ่งเข้าใจกันไม่ถูกต้องสักเท่าไหร่



อันที่จริงโสมไซบีเรีย เป็นสมุนไพรจีนอีกประเภทหนึ่งเป็นสมุนไพรที่นำรากและลำต้นใต้ดิน มาใช้เป็นยาไม่ต่างจากโสม แต่หากดูจากชื่อทางพฤกษศาสตร์แล้วก็รู้ว่าแม้จะเป็นพืชวงศ์เดียวกับโสม แต่ก็เป็นคนละชนิดกัน ในทางพฤกษศาสตร์ โสมไซบีเรียมีชื่อเรียกว่า Eleutherococcus senticosus หรือ Acanthopanak senticosus เป็นพืชวงศ์เดียวกับโสมคือวงศ์ Araliaceae



โสมไซบีเรีย (Siberian ginseng) ยังมีชื่อเรียกอื่นๆ อีกหลายชื่อ เป็นต้นว่า Touch-me-not, Wild pepper, Eleuthero, Eleutheroccoccus, Eleuthero ginseng, Devil"s shrub, Devil"s bush ส่วนชื่อที่รู้จักกันมากรองลงมาจากชื่อโสมไซบีเรียคือ " อีลิวเธโร"



หากพิจารณากันในแง่มุมของการแพทย์แผนตะวันออกแล้ว โสมไซบีเรีย มิใช่สมุนไพรใหม่เลย มีบันทึกอยู่ในตำราการแพทย์จีนโบราณกว่าสองพันปีมาแล้วโดยเรียกสมุนไพรชนิดนี้ว่า " ซิหวู่เจี่ย" มีการนำเอารากและลำต้นใต้ดินมาใช้ในการป้องกันและรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับทางเดินหายใจ หวัดและไข้หวัดใหญ่ นอกจากนี้ ยังมีบันทึกกล่าวถึงสรรพคุณของสมุนไพรซิหวู่เจี่ย ว่าช่วยเสริมพละกำลัง สร้างความกระปรี้กระเปร่าคล้ายคลึงกับสรรพคุณที่พบในจินเส็งหรือโสม



พืชสมุนไพรซิหวู่เจี่ย พบได้ทั่วไปในประเทศจีน เกาหลี ญี่ปุ่น รวมถึงเขตไทก้า แถบไซบีเรียของรัสเซีย ชาวไซบีเรียที่มีบรรพบุรุษเป็นชาวฮั่นและจีนนิยมนำพืชชนิดนี้มาต้มดื่มเพื่อเสริมสร้างกำลังรวมถึงเพื่อป้องกันโรค สมุนไพรซิหวู่เจี่ยจึงเป็นที่รู้จักกันมานาน



ต่อมาภายหลังวงการกีฬาของสหภาพโซเวียตนำเอาสมุนไพรชนิดนี้ไปใช้ในการเสริมสมรรถนะ และความทรหดอดทนในหมู่นักกีฬา บางทีก็นำไปใช้ในหมู่มนุษย์อวกาศบ้าง ชาวประมง และชาวเหมืองบ้าง กระทั่งกลายเป็นโสมในสายตาของชาวตะวันตก



ในช่วงทศวรรษที่ 1960 วงการสมุนไพรตะวันตกได้นำเอาสมุนไพรซิหวู่เจี่ยมาใช้ทดแทนโสมจีน หรือโสมเกาหลีซึ่งมีราคาแพงและหายาก โดยเข้าใจว่าเมื่อเป็นพืชกลุ่มเดียวกันจึงน่าจะมีสรรพคุณไม่ต่างกัน เหตุนี้เองครับที่ทำให้สมุนไพรชนิดนี้ถูกเรียกขานในชื่อว่า " โสมไซบีเรีย"



ได้ยินชื่อโสมไซบีเรีย หรือโสมรัสเซียเมื่อไหร่ ก็ขอให้เข้าใจกันไว้ว่าเป็นคนละกลุ่มกับโสมเกาหลี แม้จะมีสรรพคุณคล้ายๆ กันแต่สารออกฤทธิ์ในโสมไซบีเรียกับโสมเกาหลีนั้น เป็นคนละกลุ่ม พืชก็เป็นคนละชนิด มีข้อดีคล้ายกันบ้าง ต่างกันบ้าง ข้อเสียของโสมไซบีเรียดูเหมือนจะน้อยกว่าโสมเกาหลี ดังนั้นอย่านำไปใช้ให้เหมือนกันก็แล้วกันครับ


(update 3 มิถุนายน 2002)

[ ที่มา... เนชั่นสุดสัปดาห์ ปีที่ 11 ฉบับที่ 520 วันที่ 20 - 26 พ.ค. 2545 ]

วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553

กระชาย ชลอความแก่และบำรุงกำลัง

ปัจจุบันนี้ประชากรในซีกโลกตะวันตกหันมาตื่นตัวให้ความสนใจกับการแพทย์ทางเลือกกันมากขึ้น และให้ความสนใจเป็นอย่างสูงกับการดูแลสุขภาพเพื่อป้องกันสภาวะการเกิดโรค จะเห็นได้จากการขยายตัวของตลาดผลิตภัณฑ์สมุนไพรและอาหารเสริมของไทยในปี พ.ศ.2548 ซึ่งทำรายได้ถึง 4 หมื่นล้านบาท


ในปี พ.ศ.2548 นี้กระทรวงสาธารณสุขมีความประสงค์จะผลักดันสมุนไพรไทยสู่ตลาดโลก โดยมีแผนจะพัฒนาผลิตและแปรรูปสมุนไพรไทยให้เป็นยา เครื่องสำอาง และอาหารเสริมสุขภาพ เพื่อผลักดันสู่ตลาดโลกในยุทธศาสตร์พัฒนาไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพของเอเชีย โดยเลือกฤทธิ์ตามที่ตลาดโลกต้องการ คือชะลอแก่ บำรุงกำลัง และลดความอ้วน พระเอกของเราในวันนี้คือกระชาย (เหลือง) ธรรมดา อย่าเพิ่งดูถูกไม้พื้นๆ หน้าจืดๆ อย่างนี้ เพราะพระเอกของเรามีคุณสมบัติที่ตลาดโลกต้องการสองประการแรก คือ ชะลอความแก่และบำรุงกำลัง


ชื่อวงศ์ และถิ่นกำเนิด

กระชายเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ ชื่อทางวิทยาศาสตร์ของกระชาย คือ Boesenbergia rotunda (L) Mansf. วงศ์ขิง Zingiberaceae ชื่อท้องถิ่นมีมากมาย ได้แก่ กะแอน ละแอน (ภาคเหนือ) ขิงทราย (มหาสารคาม) ว่านพระอาทิตย์ (กรุงเทพฯ) จี๊ปู ซีฟู (ฉานแม่ฮ่องสอน) เป๊าะซอเร้าะ, เป๊าะสี่ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

กระชายเป็นไม้ล้มลุก สูงราว 1-2 ศอก มีลำต้นใต้ดินเรียกเหง้า มีรากทรงกระบอกปลายแหลมจำนวนมากรวมติดอยู่ที่เหง้าเป็นกระจุก เนื้อในรากละเอียด สีเหลือง มีกลิ่นเฉพาะกาบใบสีแดงเรื่อ ใบใหญ่ยาวรีปลายแหลม ดอกเป็นช่อ สีขาวชมพู ขยายพันธุ์โดยใช้เหง้า กระชายชอบดินร่วนปนทราย ไม่ชอบดินแฉะ ต้องการแค่ปริมาณน้ำฝนตามธรรมชาติ ฤดูที่เหมาะกับการปลูกคือปลายฤดูแล้ง

กระชายเป็นพืชสมุนไพรที่ปลูกตามบ้านเรือนทั่วไป ส่วนที่ใช้เป็นอาหารและยาในประเทศไทยคือเหง้าใต้ดินและราก

ในประเทศจีนมีรายงานการใช้กระชายเป็นยา

ในประเทศเวียดนามใช้กระชายในการปรุงอาหาร

ในประเทศไทยมีพืชที่เรียกว่ากระชายอยู่ 3 ชนิด คือกระชาย (เหลือง) กระชายแดง และกระชายดำ

กระชายเหลืองและกระชายแดง เป็นพืชจำพวก (genus และ species) เดียวกัน แต่เป็นพืชต่างชนิดกันและมีฤทธิ์ทางยาต่างกันเล็กน้อย โดยกระชายแดงจะมีกาบใบสีแดงเข้มกว่ากระชายเหลือง
ส่วนกระชายดำ เป็นพืชวงศ์ขิงเช่นกันแต่อยู่ในตระกูลเปราะหอม มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Kaempferia parviflora Wall. Ex Bak.


การใช้งานตามภูมิปัญญา

เหง้าและรากของกระชายมีรสเผ็ดร้อนขม หมอยาพื้นบ้านในประเทศไทยใช้เหง้า และรากของกระชายแก้ปวดมวนในท้อง แก้ท้องอืดเฟ้อ แก้ลมจุกเสียด แก้โรคกระเพาะ รักษาแผลในปาก แก้ตกขาว กลาก เกลื้อน ใช้เมื่อมีอาการปวดข้อเข่า ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ บำรุงกำลัง และใช้บำบัดโรคกามตายด้านอีกด้วย



ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ และรายงานเกี่ยวกับฤทธิ์ของสารที่มีอยู่ในกระชาย

ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์พบว่า ในเหง้ากระชายมีน้ำมันหอมระเหยแต่พบในปริมาณน้อย (ราวร้อยละ 1-3) น้ำมันหอมระเหยของกระชายประกอบด้วยสารเคมีหลายชนิด เช่น 1.8-cineol,camphor, d-borneol และ methyl cinnamate

น้ำมันหอมระเหยที่พบส่วนน้อย ได้แก่ d-pinene, zingiberene, zingiberone, curcumin และ zedoarin
นอกจากนี้ ยังพบสารอื่น ได้แก่ กลุ่มไดไฮโดรซาลโคน boesenbergin A กลุ่ม ฟลาโวน ฟลาวาโนน และฟลาโวนอยด์ (ได้แก่ alpinetin, pinostrobin) และ pincocembrin และกลุ่มซาลโคน (ได้แก่ ๒, ๔, ๖-trihydroxy chalcone และ cardamonin)

ฤทธิ์แก้ปวดมวนในท้อง แก้ท้องอืดเฟ้อ แก้ลมจุกเสียด

น้ำมันหอมระเหยของกระชายมีฤทธิ์บรรเทาอาการหดตัวของกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกล้ามเนื้อของระบบทางเดินอาหาร



สารสกัดกระชายมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย E.coli ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของการแน่นจุกเสียด นอกจากนั้นสาร cineole มีฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้ จึงลดอาการปวดเกร็ง



ฤทธิ์แก้โรคกระเพาะ

งานวิจัยระหว่างมหาวิทยาลัยมหิดลและมหาวิทยาลัยแห่งรัฐอิลลินอยส์พบว่า สารสกัดรากกระชายและสาร pinostrobin มีฤทธิ์ต้านการเจริญของแบคทีเรียกรัมลบ ชื่อ Helicobacter pylori ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ยอมรับว่าเป็นสาเหตุของโรคกระเพาะอาหาร



นอกจากนี้ เมื่อใช้สารสกัดจากรากกระชายรักษาอาการแผลในกระเพาะอาหารในสัตว์ทดลอง พบว่าสารสกัดดังกล่าวนอกจากจะฆ่าเชื้อสาเหตุของโรคแล้วยังมีฤทธิ์ลดการอักเสบของแผล ทำให้แผลหายเร็วขึ้น เนื่องจากมีรายงานว่าสาร pinostrobin จากพืชตระกูลพริกไทย (Piper methylsticum) มีฤทธิ์ต้านการอักเสบทั้งในระบบ COX-I และ COX-II จึงอาจอธิบายฤทธิ์ที่เสริมกันได้ดังกล่าว



ฤทธิ์แก้ตกขาว กลาก เกลื้อน

งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยมหิดลพบว่า สาร pinostrobin มีฤทธิ์ต้านการเจริญของเชื้อราสาเหตุโรคกลาก 3 ชนิด คือ Trichophyton mentagrophytes, Microsporum gypseum และ Epidermophyton floccosum และต้านการเจริญของเชื้อ Candida albican ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการตกขาว



งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในครั้งนี้จึงทำให้เกิดความเชื่อมั่นในองค์ความรู้ด้านการแพทย์แผนไทยอีกครั้งหนึ่ง



ฤทธิ์เป็นยาอายุวัฒนะ

การมีอายุที่ยืนยาวน่าจะมีองค์ประกอบอะไรบ้างในทางการแพทย์ร่างกายที่มีสุขภาพดีน่าจะไม่มีโรคหลอดเลือดแข็งตัว ระบบประสาททำงานได้อย่างดี ปราศจากโรคเบาหวาน โรคข้อเข่าเสื่อม โรคมะเร็งและตับทำงานกำจัดสารพิษได้ดี



แง่คิดทางการแพทย์ในปัจจุบันเสนอว่า การอักเสบแบบเรื้อรังเป็นสาเหตุของโรคหลายชนิด ได้แก่ การเกิดความไม่เสถียรของโคเลสเตอรอลที่สะสมภายในผนังหลอดเลือดทำให้เกิดอาการหัวใจวาย อาการอักเสบเรื้อรังกัดกร่อนเซลล์ประสาทในสมองของผู้ป่วยอัลไซเมอร์ หรืออาจกระตุ้นการแบ่งเซลล์ของเซลล์ที่ผิดปกติ ทำให้เกิดการแปรสภาพเป็นเซลล์มะเร็ง จึงมีการศึกษาผลจากการให้สารต้านการอักเสบแก่ผู้ป่วยด้วยโรคเหล่านี้ ตัวอย่างได้แก่ การให้แอสไพรินซึ่งมีฤทธิ์ต้านอักเสบแก่ผู้ป่วยโรคความดันเลือดสูง และการศึกษาที่พบว่า การบริโภคน้ำมันปลาและแอสไพรินซึ่งต่างมีฤทธิ์ลดไซโตไคน์ที่มาจากการอักเสบจะลดความเสี่ยงการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้ จึงอาจคะเนได้ว่า เนื่องจากรากกระชายมีสาร pinostrobin และ ๕, ๗-dimethoxyflavone ที่มีรายงานว่ามีฤทธิ์ต้านการอักเสบ การบริโภคกระชายเป็นประจำอาจได้ผลคล้ายการบริโภคแอสไพริน และอาจป้องกันการเกิดโรคที่มีสาเหตุจากการอักเสบเรื้อรังในร่างกายได้



การทดสอบเบื้องต้นของการใช้สารสกัดจากกระชายต้านการเสื่อมของกระดูกอ่อนในหลอดทดลอง วิจัยโดยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่โดยความร่วมกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ให้ผลการทดลองขั้นต้นเป็นที่น่าพอใจ ถือเป็นการตอกย้ำว่า ภูมิปัญญาไทยใช้ได้ผลในเชิงวิทยาศาสตร์อีกครั้งหนึ่ง



สาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคมะเร็งคือ การที่เซลล์ได้รับความเสียหายจากอนุมูลอิสระ อันเกิดจากกระบวนการปกติภายในเซลล์ อนุมูลอิสระมีอิเล็กตรอนวงนอกขาดหายไปจึงไวต่อการทำปฏิกิริยาเคมี นอกจากนี้ การได้รับควันบุหรี่หรือรังสี ก็อาจก่อให้เกิดการสร้างอนุมูลอิสระได้ ในร่างกายมนุษย์อนุมูลอิสระที่พบมากที่สุดคือ อนุมูลอิสระของออกซิเจน เมื่อทำปฏิกิริยาเคมีเพื่อเติมอิเล็กตรอนของตัวเองให้ครบจะทำความเสียหายให้กับดีเอ็นเอและโมเลกุลอื่นๆ เมื่อเวลาผ่านไปความเสียหายดังกล่าวจะซ่อมแซมไม่ได้อาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งขึ้น สารต้านอนุมูลอิสระคือสารที่ทำให้อนุมูลอิสระเป็นกลางไม่ตึงอิเล็กตรอนไปจากโมเลกุลอื่นในเซลล์



รายงานการวิจัยจากประเทศญี่ปุ่นพบว่า สาร alpinetin, pinostrobin, pinocembrin และ ๒', ๔', ๖'-trihydroxy chalcone มีฤทธิ์ต้านการก่อกลายพันธุ์ ฤทธิ์ดังกล่าวไม่สลายไปเมื่อได้รับความร้อน จึงมีศักยภาพในการใช้เป็นอาหารเสริมเพื่อป้องกันการเกิดมะเร็ง



มีรายงานจากพืชตระกูลข่า (Alpinia rafflesiana) ว่า pinocembrin, pinstrobim และ cardamonin มีฤทธิ์ทำให้อนุมูลอิสระเป็นกลาง จึงมีผลช่วยลดความเสียหายจากอนุมูลอิสระในร่างกายได้ นอกจากนั้นแล้ว pinostrobin ยังมีฤทธิ์เป็นพิษต่อเซลล์มะเร็งของมนุษย์ สาร pinostrobin ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ topoisomerase I ในกระบวนการเพิ่มจำนวนเซลล์ ดังนั้น การบริโภครากกระชายจึงอาจลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งได้



รายงานการวิจัยจากสหรัฐอเมริกาพบว่า สารพิโนสโตรบินจากกระชายมีฤทธิ์ เพิ่มประสิทธิภาพของเอนไซม์ที่ใช้กำจัดสารพิษในตับ

บัดโรคนกเขาไม่ขัน หรือโรคอีดี (Erectile Dysfuntional หรือ ED)

การแข็งตัวขององคชาตเกิดจากการมีเลือดเข้าไปคั่งอยู่ในอวัยวะดังกล่าวนับเป็นผลจากการคลายตัว ของเนื้อเยื่อที่เรียกว่า cavernous tissues ซึ่งเกี่ยวข้องกับทั้งระบบประสาทส่วนกลาง และปัจจัยเฉพาะในอวัยวะดังกล่าว

สาเหตุและปัจจัยโน้มนำที่ก่อให้เกิดโรคนกเขาไม่ขันหรือโรคอีดี มีหลายประการ ที่สำคัญได้แก่ ความชราภาพ ความดันเลือดสูง เบาหวาน โคเลสเตอรอลในเลือดสูง หลอดเลือดแข็งตัว หลอดเลือดตีบ โรคหัวใจ การสูบบุหรี่ หรือความผิดปกติที่ทำให้ระบบประสาททำงานลดลง เนื่องจากสาเหตุหรือปัจจัยโน้มนำดังกล่าวเป็นปัญหาในลักษณะเรื้อรัง หลังจากได้รับการแก้ไข แล้วก็อาจไม่สามารถรักษาโรคอีดีได้



ในระยะ 10 ปีที่ผ่านมามีการค้นคว้าอย่างกว้างขวางเพื่อหาแนวทางการรักษาโรคอีดี การหดและคลายตัวของกล้ามเนื้อในส่วนเนื้อเยื่อองคชาตที่แข็งตัวได้นี้อยู่ภายใต้การควบคุมของสารเคมีที่ผลิต และหลั่งในบริเวณกล้ามเนื้อเอง และ/หรือโมเลกุลที่ผลิตมาจากเซลล์หรือเนื้อเยื่ออื่นๆ



ดังนั้นอวัยวะเป้าหมายของการใช้สารเคมีบำบัดจึงแบ่งได้เป็น



1. กลุ่มกล้ามเนื้อเรียบของเนื้อเยื่อองคชาตที่แข็งตัวได้

2. เนื้อเยื่อหรือเซลล์ที่ผลิตสารเคมีที่ควบคุมการคลายของกล้ามเนื้อดังกล่าว



กลุ่มยาที่ใช้รักษาโรคอีดี จำแนกกลไกและอวัยวะเป้าหมายของการออกฤทธิ์ได้ดังนี้คือ

1. ยาที่มีผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง เช่น สารต้านโอพิออยด์ (opioid receptor antagonists)

2. ยาที่มีผลต่อเส้นประสาทที่มาเลี้ยงกล้ามเนื้อซึ่งเกี่ยวข้องกับการผลิตสารสื่อประสาท ได้แก่ ?-adrenoreceptor antagoniats

3. ยาที่มีผลต่อการคลายตัวของกล้ามเนื้อ ได้แก่ สารกลุ่ม prostanoids (PGE1), ไนตริกออกไซด์ และเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตไนตริกออกไซด์ (ได้แก่ nitric oxide synthase)

สาร cardamonin และ alpinetin จากพืชตระกูลข่า (Alpinia henryi) มีฤทธิ์คลายผนังหลอดเลือดแดงมีเซ็นเทอริก (mesenteric arteries) ในหนูแร็ท โดยมีกลไกทั้งที่ขึ้นกับเซลล์บุผนังหลอดเลือด ซึ่งคาดว่าควบคุมโดยไนตริกออกไซด์ และโดยกลไกที่ไม่ขึ้นกับเซลล์บุผนังหลอดเลือด ซึ่งคาดว่าโดยการควบคุมการเข้าออกของแคลเซียม (Ca2+) อย่างไม่เฉพาะเจาะจงและการยับยั้งกลไกการหดตัวที่ขึ้นกับโปรตีนไคเนส-ซี

ภูมิปัญญาไทยใช้รากกระชายบำบัดอาการอีดี โดยกินทั้งราก เนื่องจากในรากกระชายมีสารที่ออกฤทธิ์คลายการหดตัวของผนังหลอดเลือดในกลุ่มยารักษาอีดี กลุ่มที่ 3 จึงเห็นว่าเป็นการใช้งานที่ไม่ขัดกับข้อมูลจากวงการแพทย์ และเนื่องจากกระชายเป็นพืชอาหารของไทย ไม่พบรายงานความเป็นพิษเมื่อบริโภคในระดับที่เป็นอาหาร





ฤทธิ์ต้านจุลชีพ



งานวิจัยจากประเทศกานาพบว่า สาร pinostrobin จากรากและใบของต้น Cajanus cajan มีฤทธิ์ต้านเชื้อ Plasmodium falciparum ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคมาลาเรีย



ในประเทศไทยงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์พบว่า สารสกัดคลอโรฟอร์ม และเมทานอลจากรากกระชายมีฤทธิ์ต้านการเจริญของเชื้อ Giardia intestinalis ซึ่งเป็นพยาธิเซลล์เดียวในลำไส้ก่อให้เกิดภาวะท้องเสีย ซึ่งเป็นปัญหาอย่างมากกับผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่อง



งานวิจัยจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยพบว่า pinstrobin, panduratin A, pinocembrin และ alpinetin มีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียหลายชนิด





การใช้งาน



กระชายแก่มี pinostrobin เป็นสองเท่าของกระชายอ่อน ถามคนขายเลือกเอารากที่แก่ กระชายจากชุมพรและนครปฐมมีสาร pinostrobin มากประมาณร้อยละ 0.1 ของน้ำหนักแห้ง รากอ้วนๆ อวบน้ำมีสาระสำคัญน้อยไม่ควรใช้



บรรเทาอาการจุกเสียด นำเหง้าแห้งประมาณครึ่งกำมือต้มเอาน้ำดื่ม



บำบัดโรคกระเพาะ กินรากสดแง่งเท่านิ้วก้อยไม่ต้องปอกเปลือก วันละ 3 มื้อ ก่อนอาหาร 15 นาที สัก 3 วัน ถ้ากินได้ให้กินจนครบ 2 สัปดาห์ ถ้าเผ็ดร้อนเกินไปหลังวันที่ 3 ให้กินขมิ้นสดปอกเปลือกขนาดเท่ากับ 2 ข้อนิ้วก้อยจนครบ 2 สัปดาห์



บรรเทาอาการแผลในปาก ปั่นรากกระชายทั้งเปลือก 2 แง่งกับน้ำสะอาด 1 แก้วในโถปั่นน้ำ เติมเกลือครึ่งช้อนกาแฟโบราณ กรองด้วยผ้าขาวบาง ใช้กลั้วปากวันละ 3 เวลาจนกว่าแผลจะหาย ถ้าเฝื่อนเกินไปให้เติมน้ำสุกได้อีก ส่วนที่ยังไม่ได้แบ่งใช้เก็บในตู้เย็นได้ 1 วัน



แก้ฝ้าขาวในปาก บดรากกระชายที่ล้างสะอาด ไม่ต้องปอกเปลือก ในโถปั่นพอหยาบ ใส่ขวดปิดฝาแช่ไว้ในตู้เย็น กินก่อนอาหารครั้งละ 1 ช้อนกาแฟเล็ก (เหมือนที่เขาใช้คนกาแฟโบราณ) วันละ 3 มื้อก่อนอาหาร 15 นาที สัก 7 วัน



ฤทธิ์แก้กลาก เกลื้อน น้ำกัดเท้า คันศีรษะจากเชื้อรา นำรากกระชายทั้งเปลือกมาล้างผึ่งให้แห้ง ฝานเป็นแว่น แล้วบดให้เป็นผงหยาบ เอาน้ำมันพืช (อาจใช้น้ำมันมะกอกหรือน้ำมันมะพร้าวก็ได้) มาอุ่นในหม้อใบเล็กๆ เติมผงกระชายใช้น้ำมัน 3 เท่าของปริมาณกระชาย หุง (คนไปคนมาอย่าให้ไหม้) ไฟอ่อนๆ ไปสักพักราว 15-20 นาที กรองกระชายออก เก็บน้ำมันไว้ในขวดแก้วสีชาใช้ทาแก้กลาก เกลื้อน



แก้คันศีรษะจากเชื้อรา ให้เอาน้ำมันดังกล่าวไปเข้าสูตรทำแชมพูสระผมสูตรน้ำมันจากที่ไหนก็ได้ โดยใช้แทนน้ำมันมะพร้าวในสูตร ประหยัดเงินและได้ภูมิใจกับภูมิปัญญาไทย หรือจะใช้น้ำมันกระชายโกรกผม ให้เพิ่มปริมาณน้ำมันพืชอีก 1 เท่าตัว โกรกด้วยน้ำมันกระชายสัก 5 นาที นวดให้เข้าหนังศีรษะ แล้วจึงสระผมล้างออก



ฤทธิ์เป็นยาอายุวัฒนะ ผงกระชายทั้งเปลือกบดตากแห้งปั้นลูกกลอนกับน้ำผึ้ง กินวันละ 3 ลูกก่อนเข้านอน ตำรับนี้เคยมีผู้รายงานว่าใช้ลดน้ำตาลในเลือดได้ หรือใช้กระชายตากแห้งบดผงบรรจุแคปซูล แคปซูลละ 250 มิลลิกรัม กินวันละ 1 แคปซูลตอนเช้าก่อนอาหารเช้าในสัปดาห์แรก วันละ 2 แคปซูลตอนเช้าในสัปดาห์ที่ 2



รองศาสตราจารย์ซึ่งนักเรียนทุนออสเตรเลีย อายุ 54 กล่าวว่า “อดีตผมกินเหล้า สูบบุหรี่จัด มันก็เลยเสื่อมๆ ไป ปกติแล้วถึงผมอยากมันก็ไม่เกิดอะไรขึ้น พอกินไปสักวันที่ 3-4 พออยากแล้วมันก็ขึ้นมาเอง ภรรยาเลยไม่ค่อยได้นอนครับ”



ฤทธิ์แก้โรคนกเขาไม่ขัน (โรคอีดี)



วิธีที่ 1 ใช้ตำราแก้ฝ้าขาวในปาก อาการจะเริ่มเปลี่ยนแปลงหลังวันที่ 3-4



วิธีที่ 2 รากกระชายตากแห้งบดผงบรรจุแคปซูล แคปซูลละ 250 มิลลิกรัม กินวันละ 1 แคปซูลตอนเช้าก่อนอาหารเช้าในสัปดาห์แรก วันละ 2 แคปซูลตอนเช้าในสัปดาห์ที่ 2 ถ้าไม่เห็นผลกินอีก 2 แคปซูลก่อนอาหารเย็น หรือกลับไปใช้วิธีที่ 1 จะเริ่มกินบอกภรรยาด้วย ถ้าได้ผลแล้วภรรยาบ่นให้ภรรยากินด้วยเหมือนๆ กัน



วิธีที่ 3 เพิ่มกระชายในอาหร ทำเป็นกับข้าวธรรมดาก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นต้มยำ (ทุบแบบหัวข่า) แกงเผ็ด (หั่นเป็นฝอย) กินทุกวัน พร้อมทั้งออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เห็นผลในหนึ่งเดือน



ฤทธิ์บำรุงหัวใจ



นำเหง้าและรากกระชายปอกเปลือกล้างน้ำให้สะอาด หั่นตากแห้ง บดเป็นผง ใช้ผงแห้ง 1 ช้อนชาชงน้ำดื่มครึ่งถ้วยชา



คนโบราณบอกว่าลางเนื้อชอบลางยา ให้สูตรกระชายไปหลายสูตรแล้ว ถ้าใครถูกกับสูตรไหนกินไปเลย หรือจะเพิ่มการกินขนมจีนน้ำยาหรือแกงป่าใส่กระชายก็ได้ ชนิดที่ไม่ใส่กะทิก็ดี ไขมันจะได้ไม่พอกพูน


(update 12 ตุลาคม 2005)

[ ที่มา.. นิตยสารหมอชาวบ้าน ปีที่ 247 ฉบับที่ 305 กรกฎาคม 2548 ]